ธนาคารกลางซีเรียยืนยันว่าได้รับเงิน 300,000 ล้านปอนด์ซีเรียจากสหพันธรัฐรัสเซียเมื่อวันศุกร์ โดยเน้นย้ำว่านี่คือจำนวนเงินจริงที่พวกเขาได้รับ และ “ตัวเลขที่หมุนเวียนเกี่ยวกับขนาดและปริมาณของเงินนี้ไม่ถูกต้องเลย”
“จำนวนเงินที่มาถึงในวันนี้เป็นสิทธิของซีเรียและประชาชนซีเรีย และเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่ลงนามระหว่างระบอบการปกครองที่ถูกขับไล่และรัสเซีย” โดยระบุว่าจำนวนเงินดังกล่าว “ควรจะมาถึงก่อนสิ้นปีที่แล้ว” ธนาคารยังยืนยันด้วยว่าสัญญาดังกล่าวระบุว่าการชำระเงินอีกครั้งที่ส่งในภายหลังอาจมีจำนวนมากกว่าที่ส่งในปัจจุบัน โดยเสริมว่าในสมัยที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดซึ่งถูกขับไล่ออกจากอำนาจปกครองนั้น ถือเป็นธรรมเนียมที่จะพิมพ์ธนบัตรซีเรียในรัสเซีย
สำนักงานสื่อมวลชนของธนาคารกลางซีเรียเปิดเผยในแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันพฤหัสบดีว่า “เราขอยืนยันว่าเงินปอนด์ซีเรียจำนวนหนึ่งมาถึงซีเรียจากรัสเซียผ่านสนามบินนานาชาติดามัสกัส ตัวเลขเงินหมุนเวียนเกี่ยวกับขนาดและปริมาณของเงินนี้ไม่ถูกต้องเลย” เราเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพึ่งพาข้อมูลอย่างเป็นทางการและหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ”
เรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่ตลาดซีเรียต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลต่อสกุลเงินซีเรียตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยตลาดทั้งหมดพบว่าอุปทานของปอนด์ซีเรียลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ต้องจ่าย อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ในประเทศบันทึกไว้ระหว่าง 9,000 ถึง 10,000 ปอนด์ซีเรีย
พนักงานรัฐบาลหลายแสนคนต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเดือนที่สองติดต่อกันเนื่องจากไม่ได้รับเงินเดือนรายเดือนเนื่องจากตู้เอทีเอ็มที่ใช้ถอนเงินเดือนของพวกเขาไม่ทำงานเนื่องจากไม่มีสกุลเงินซีเรีย เศรษฐกิจซีเรียกำลังประสบกับวิกฤตการณ์ร้ายแรงที่เกิดจากนโยบายทำลายล้างอย่างเป็นระบบของระบอบการปกครองที่ถูกโค่นอำนาจของอัลอัสซาด นอกจากนี้ ยังมีการโจรกรรมที่ส่งผลกระทบต่อธนาคารกลางก่อนที่กลุ่มของอัลอัสซาดจะหลบหนีไปยังรัสเซียและประเทศอ่าวบางประเทศ
นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าค่าเงินปอนด์จะยังคงไม่มั่นคงจนกว่าผลผลิตและการลงทุนจะเริ่มไหลเข้ามาในประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลในเดือนหน้า นอกจากนี้ ยังมีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศและการประกาศการประชุมเพื่อฟื้นฟูซีเรียอีกด้วย นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าศักยภาพที่มีอยู่และรายได้ที่เป็นไปได้ของรัฐบาลชั่วคราวที่นำโดยประธานาธิบดีอาเหม็ด อัล-ชาราไม่เพียงพอที่จะควบคุมตลาดและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวไปข้างหน้าได้
