“ทรัมป์-คิม” พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ “เลิกนิวเคลียร์-สหรัฐฯพร้อมคุ้มครอง”

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และผู้นำ คิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ สร้างประวัติศาสตร์พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ร่วมลงนามในเอกสารความตกลงแบบครอบคลุม หลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันอังคาร (12 มิถุนายน) พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกันในการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่สหรัฐฯ ประกาศรับรองความมั่นคงให้แก่รัฐบาลเกาหลีเหนือ

“ประธานาธิบดี ทรัมป์ ให้คำมั่นว่าจะรับรองความปลอดภัยแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ส่วนประธาน คิม จองอึน ก็กล่าวย้ำความตั้งใจที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี” คำแถลงร่วมระบุ

แม้ข้อตกลงในวันอังคาร (12) จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการเจรจาทางการทูตที่คาดว่าจะต้องดำเนินต่อไป แต่ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้บรรยากาศความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือพลิกโฉมไป ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่อดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐฯ เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อปี 1972 จนนำมาสู่การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงในจีน

ก่อนจะตวัดปากกาลงนามในเอกสารซึ่ง ทรัมป์ เรียกว่า “จดหมายที่ครอบคลุม” (comprehensive letter) ผู้นำเกาหลีเหนือได้กล่าวว่า ตนและ ทรัมป์ ได้มีการหารือครั้งสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ และ “ตัดสินใจว่าจะทิ้งอดีตเอาไว้เบื้องหลัง”

“โลกจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” คิม กล่าว

ด้านผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ตนได้ “ผูกความสัมพันธ์ที่พิเศษยิ่ง” กับ คิม และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“ทุกๆ คนจะต้องประทับใจ ทุกๆ คนจะมีความสุข และเราจะร่วมกันดูแลแก้ไขปัญหาที่ร้ายแรงของโลก” ทรัมป์ กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีแผนจะเชิญผู้นำ คิม ไปเป็นแขกของทำเนียบขาวบ้างหรือไม่ ทรัมป์ ก็ให้คำตอบชัดเจนว่า “แน่นอน ผมเชิญแน่”

ทรัมป์ ยังกล่าวชมผู้นำวัยหนุ่มของโสมแดงว่าเป็นคน “ฉลาดหลักแหลม” และเป็นนักเจรจาผู้มีความสามารถสูง

“ผมได้เรียนรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง และได้รู้ว่าเขารักประเทศของเขามากเช่นกัน” ทรัมป์ กล่าว

ระหว่างที่เดินเคียงคู่กับ คิม ผ่านสวนของโรงแรมคาเปลลาซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมซัมมิต ทรัมป์ ยอมรับว่า การพบปะหารือกับผู้นำเกาหลีเหนือครั้งนี้ “ได้ผลลัพธ์ดียิ่งกว่าที่ใครๆ คาดคิด” ส่วนผู้นำ คิม กล่าวก่อนหน้านั้นว่า การพบกับ ทรัมป์ ถือเป็น “ปฐมบทที่ดีซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพ”

ผู้นำทั้งสองได้เดินตรงไปยังรถลีมูซีนกันกระสุนของ ทรัมป์ ซึ่งถูกตั้งฉายาว่า “เดอะบีสต์” โดยดูเหมือนว่า ทรัมป์ จะชี้ชวนให้ คิม ดูอะไรบางอย่างที่เบาะหลัง ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินต่อไป

ทรัมป์ และ คิม มีท่าทีเคร่งเครียดและระมัดระวังตัวขณะที่เดินทางไปถึงโรงแรมคาเปลลาใหม่ๆ แต่แล้วทั้งคู่ก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นขณะที่เดินตรงเข้าไปจับมือทักทายกันที่เฉลียงของโรงแรม ท่ามกลางเสียงรัวชัตเตอร์ของสื่อมวลชนจากทั่วโลก

ผู้สื่อข่าวได้ยิน คิม พูดกับ ทรัมป์ ผ่านล่ามว่า “ผมว่าคนทั้งโลกคงกำลังมองดูอยู่ และส่วนใหญ่คงคิดว่านี่มันคือฉากจากภาพยนตร์ไซ-ไฟ แนวแฟนตาซี”

ทรัมป์ ระบุว่า การประชุมครั้งนี้ทำให้ตนได้มีโอกาสสานความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำเกาหลีเหนือ ส่วน คิม ก็ยอมรับว่า “เราสามารถก้าวข้ามความลังเลสงสัยและการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ และผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดีต่อการสร้างสันติภาพ”

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์วันอังคาร (12 มิถุนายน) ขณะที่ดัชนีราคาหุ้นเอเชียก็ปรับตัวสูงขึ้นไปตามๆ กัน ภายหลังผลการประชุมคิม-ทรัมป์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายระบุว่า คิม และ ทรัมป์ ซึ่งเคยเปิดสงครามน้ำลายด่าทอกันอย่างหนักเมื่อปีที่แล้วพยายามวางมาดผู้นำที่เป็นฝ่ายคุมเกม แต่ก็ปรากฏร่องรอยความตื่นเต้นกังวลเมื่อต้องพบหน้ากันเป็นครั้งแรก

คณะของผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกันหลังเสร็จสิ้นการหารือทั้ง 2 รอบ โดยเมนูอาหารเมนคอร์ส ได้แก่ ซี่โครงเนื้อ, หมูเปรี้ยวหวาน และ “แดกู จอร์มิน” (Daegu Jormin) หรือปลาค็อดนึ่งซอสแบบเกาหลี ส่วนของหวานมีทั้งทาร์ตช็อกโกแลต, ขนมปังอบแบบมีไส้ และไอศกรีมวานิลลา

ทำเนียบขาวแถลงว่า การหารือกับคณะของเกาหลีเหนือ “ดำเนินไปได้รวดเร็วกว่าที่คาดเอาไว้” และ ทรัมป์ จะเดินทางออกจากสิงคโปร์ในช่วงค่ำวันนี้ (12) จากเดิมที่มีกำหนดเดินทางกลับในวันพุธ (13) ส่วนผู้นำ คิม จะเดินทางกลับเกาหลีเหนือตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนี้ (12) ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว

ความคิดเห็น

comments