แถลงปิดศูนย์ ศอร. เปิดภาพสมาชิกทีมหมูป่าแข็งแรงดี

ผู้บัญชาการ ศอร. และคณะ แถลงข่าวปิดศูนย์ ศอร. อย่างเป็นทางการ ก่อนโชว์ภาพ 13 ทีมหมูป่า แข็งแรงดี ปลอดภัย ถอดสายน้ำเกลือออกหมดแล้ว ไฟเขียวให้ครอบครัวได้เข้าเยี่ยม

สำนักข่าวอิศรารายงานวันพุธ(11 กรกฎาคม) นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในฐานะผู้บัญชาการ ศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (ศอร.) และคณะ แถลงข่าวปิดศูนย์ ศอร. อย่างเป็นทางการ

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวถึงการทำงานครั้งนี้จะสำเร็จไม่ได้หากไม่ได้รับบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมจากในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงพระราชทานกำลังใจ พระราชทานสิ่งของ และอุปกรณ์ต่างๆ โดยพระราชทานให้เราได้ใช้ทันเวลา ในการปฏิบัติงานครั้งนี้ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

“เหตุการณ์ครั้งนี้เกินคำว่า กู้ภัย กู้ชีพ แสดงให้เห็นความสามัคคีของคนทุกชนชาติเพื่อช่วยชีวิตทีมหมูป่า และทลายภาษา เชื้อชาติ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน รวมถึงความร่วมมือทั้งเทคโนโลยี ความรู้ อุปกรณ์ ผมมองว่า ภารกิจครั้งนี้แม้ปิดภารกิจสืบค้น ค้นหา กู้ภัยมาได้ แต่ยังเหลือภารกิจส่งกลับที่ต้องดำเนินการอยู่ และการฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับคืนมา”

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ในอนาคตจะมีการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นครั้งแรกในโลกที่กู้ภัยผู้สูญหายในถ้ำที่มีน้ำ 100% ซึ่งยากมาก อีกทั้งเป็นไปไม่ได้เลย ฉะนั้น ปัญหาต่างๆ เหล่านี้เราจะนำมาทำเป็นบทเรียน และสอนให้เด็กได้รู้ถึงความอันตรายของถ้ำ อันตรายของน้ำ และพัฒนาวิธีการกู้ภัยในอนาคต

“การที่สื่อออนไลน์ ยกให้ทีมหมูป่าเป็นพระเอก หรือผู้ร้าย แต่ในสายตาเจ้าหน้าผู้ปฏิบัติงานมองเป็นเด็กน้อย 13 คน มีความสุข ปฏิบัติตามวิสัยของเด็ก และเกิดเหตุสุดวิสัยน้ำเข้ามา ทำให้เขาออกมาไม่ได้ แต่เชื่อว่า เด็กเหล่านี้เมื่อเติบโตจะรู้ว่าทั่วโลกเอาใจช่วยเขา ผมเชื่อว่า เขาจะเป็นพลเมือง เป็นคนไทยที่ดีได้ และมีคุณค่าต่อสังคมไทย” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว และว่า เมื่อทีมหมูป่าแข็งแรง เราอาจพบปะเขาได้ อาจได้ฟังเสียง ซึ่งต้องรอให้แพทย์เป็นผู้ตัดสินใจ

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวถึงทีมดำน้ำปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ มาจากต่างประเทศ 1 ใน 4 ของทีมปฏิบัติงาน เราจะมีการรวบรวมเป็นฐานข้อมูลเพื่อถอดเป็นบทเรียน เพื่อให้รู้ว่าทรัพยากรที่มีคุณค่าของโลกอยู่ตรงไหน และเราถือว่า นักดำน้ำจากต่างประเทศ เป็นอาคันตุกะของประเทศไทย อีกกำลังสำคัญ คือ ทีมสูบน้ำ สูบน้ำทั้งหมดเกือบ 1 ล้านลูกบาศก์เมตร จาก 5 แสนลูกบาศก์เมตร รวมถึงทีมเดินอยู่บนยอดดอย เดินสนาม อยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้ทั้งหมด

“อนาคตถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ให้นักท่องเที่ยว นักดำน้ำมาศึกษาเรียนรู้เป็นประโยชน์กับคนทั้งโลก” ผอ.ศอร. กล่าว และว่า สำหรับการปฏิบัติงานครั้งนี้ วีรบุรุษตัวจริง คือ จ่าเอกสมาน กุนัน เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติงาน เราถือว่า เป็นพระเอกตัวจริง และขอขอบคุณวีรบุรุษคนนี้ด้วย พร้อมแสดงความเสียใจกับนายแพทย์ริชาร์ด แฮร์ริส แพทย์ชาวออสเตรเลีย ที่บิดาได้เสียชีวิตลงเมื่อคืนที่ผ่านมา

ด้านพลเรือตรี อาภากร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กล่าวถึงการปฏิบัติภารกิจ ในถ้ำหลวง ในช่วงแรกเราสู้กับน้ำไม่ได้ จนต้องถอยร่นออกมา ความยากลำบากหลายครั้งต้องขอกำลังพลจากกองทัพเรือ ระลอกที่ 2 และ 3 แต่ก็ยังสู้น้ำไม่ได้อยู่ดี ซึ่งช่วงนั้นวันที่ 7 และ 8 วันแล้ว ความหวังเหลือนิดเดียวกับระดับน้ำขนาดนี้ จึงมาคิด เราช่วยทีมหมูป่าได้อย่างไร แต่ก็ไม่ละความพยายาม จนมีหน่วยงานราชการ และภาคเอกชน ช่วยสูบน้ำออกแต่น้ำก็ลดวันละ 1-2 เซ็นติเมตร เท่านั้น

“จากปากถ้ำถึงโถง 3 สาหัสพอสมควร น้ำมีระดับสูง สุดท้ายตัดสินใจสู้กับน้ำ โดยให้หาขวดอากาศมาให้ได้ ช่วงแรกภาคเอกชนบริจาค และได้รับพระราชทานมาสบทบอีก รวมถึงอุปกรณ์ดำน้ำ จึงคิดว่า สามารถสู้ได้ ด้วยการวางขวดอากาศเรียงต่อกันไป อีกทั้งโชคดีการจัดการมีเพื่อนจากนานาชาติมาช่วย มีนักดำน้ำจากสหรัฐฯ ออสเตรีย จีน อังกฤษ เยอรมัน ฟินแลนด์ เดนมาร์ค และผู้เชี่ยวชาญดำน้ำในถ้ำโดยตรง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญมาก”

พลเรือตรี อาภากร กล่าวอีกว่า เมื่อการเจอทีมหมูป่าแล้ว ได้มีการส่งพ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน และกำลังพลจำนวน 4 คนเข้าไปอยู่ และมาเจออุปสรรคสำคัญ คือ ระดับอ๊อกซิเจนน้อย เหลือเพียง 15% อีกทั้งเข้าสู่ฤดูฝน ปัจจัยเรื่องเวลา ทำให้ตัดสินใจสุดท้ายกับแผนนำตัวทีมหมูป่าออกมาให้หมด โดยได้รับอนุมัติจากผบ.ศอร.และหน่วยเหนือให้ปฏิบัติภารกิจนำ 13 ชีวิตออกมา

“ภารกิจตรงนี้ยากมาก ยากจริงๆ ไม่เคยเจอ ต้องมีการพัฒนาบุคลากรของเราเพิ่มไปอีก เพื่อให้เราสามารถรับกับภัยพิบัติได้หลายรูปแบบ”

จากนั้น นายแพทย์ไชยเวช ธนไพศาล ผอ.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวยืนยัน 13 ทีมหมูป่า และ 4 กำลังพลหน่วยซีล ปลอดภัย คาดว่า ต้องอยู่โรงพยาบาล 10 วัน และพักฟื้นที่บ้านอีก 30 วัน

“วันนี้ได้รับอนุญาตจากศูนย์อำนวยการและญาติทุกครอบครัวให้นำข่าวและภาพมานำเสนอให้คลายความกังวลให้แก่ทุกคน โดยจะเห็นได้จากเด็กทั้ง 13 คน ได้รับการดูแลตามมาตรฐานวิชาชีพ โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างเต็มที่ มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม ทุกคนสบายดี สามารถเดินได้ รับประทานอาหารและทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติแล้ว โดยรวมทุกคนนั้นมีสุขภาพดี และล่าสุดได้อนุญาตให้ครอบครัวเข้าเยี่ยมได้แล้ว ในเบื้องต้นยังต้องผ่านระยะห่างตามมาตรฐานการควบคุมและป้องกันโรค พร้อมกันนี้ ทางคณะแพทย์ยังต้องรักษามาตรฐานวิชาชีพเรื่องการควบคุมป้องกันโรคต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง เนื่องจากกรณีที่ไปอยู่ในถ้ำหลายวัน เป็นกรณีที่พบไม่บ่อยนัก ในตำราทางวิชาการก็พบกรณีดังกล่าวน้อยด้วยเช่นกัน”

ในส่วนของสุขภาพทางจิตใจนั้น นายแพทย์ไชยเวช กล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการเยียวยาทั้งครอบครัวและเด็กทั้ง 13 คนที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ในการเข้าสังคม ตลอดจนการตอบสนองต่อสังคมอีกด้วย

ความคิดเห็น

comments