รถไฟความเร็วสูง Haramain ของซาอุดิอาระเบียเปิดให้ประชาชนทั่วไปเริ่มใช้บริการได้ในวันพฤหัสบดี(11 ตุลาคม) ในการเดินทางระหว่าง Makkah และ Madinah ผ่านเมืองทางเศรษฐกิจ King Abdullah (KAEC) ใน Rabigh และ Jeddah ใช้เวลาในการทางเพียง 2 ชั่วโมงจากเดิมที่ 10 ชั่วโมง
นาย Rumaih Al-Rumaih ประธานคณะกรรมการขนส่งสาธารณะ (Public Transport Authority หรือ PTA) กล่าวว่า “นี่เป็นช่วงเวลาที่บ่งชี้ถึงจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ของชาติในการขนส่งที่ทันสมัยของราชอาณาจักร”
รถไฟจะให้บริการสี่วันต่อสัปดาห์ตั้งแต่วันพฤหัสบดี ถึงวันอาทิตย์ คาดว่าจะมีการดำเนินการในแต่ละวันโดยที่เวลาเดินทางตรงระหว่าง Makkah และ Madinah จะใช้เวลา 2 ชั่วโมง และจะหยุดสถานีระหว่างทางที่ Jeddah และ KAEC จะใช้เวลาเพิ่มอีกราว 20 นาที
Saad Al-Shehri ผู้อำนวยการสถานีรถไฟความเร็วสูง Haramain ในเมือง Madinah กล่าวว่าการเดินทางสาธารณะครั้งแรกของรถไฟเริ่มด้วยการบรรทุกผู้โดยสารจาก Madinah มายัง Makkah จำนวน 417 คน
รถไฟที่เดินทางในทิศทางตรงกันข้ามจาก Makkah ไปยัง Madinah โดยมีป้ายหยุดใน Jeddah และ KAEC ซึ่งมีผู้โดยสารจำนวนเท่ากันออกเดินทางในเวลาเดียวกัน
ตั๋วรถไฟความเร็วสูง Haramain สามารถซื้อได้ทางออนไลน์ (www.hhr.sa) หรือทางโทรศัพท์ (920004433) หรือซื้อโดยตรงจากสำนักงานขายตั๋ว ที่จะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 8.00 น. ถึง 21.00 น. โดยในช่วงนี้มีส่วนลด 50%
โครงการรถไฟความเร็วสูง Haramain สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของวิสัยทัศน์ 2030 เนื่องจากจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้ที่เดินทางมาร่วมประกอบศาสนกิจทางศาสนาที่มัสยิดสำคัญทั้งสอง
รถไฟมีขีดความสามารถในการขนส่งผู้โดยสาร 60 ล้านคนต่อปี ด้วยขบวนรถ 35 ขบวน แต่ละขบวนประกอบไปด้วยที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร 417 คน รถไฟซึ่งสามารถเดินทางได้เร็วถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมีการติดตั้งเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย
ทางรถไฟที่ครอบคลุมระยะทาง 450 กม. เชื่อมต่อสถานีใน Makkah, Jeddah, สนามบินนานาชาติ King Abdul Aziz ใน Jeddah (KAIA) เมืองทางเศรษฐกิจ King Abdullah (KAEC) ใน Rabigh และเมือง Madinah
ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียกำลังเพิ่มการใช้จ่ายสำหรับสาธารณูปโภคพื้นฐาน และขยายระบบขนส่งทางราง โดยขณะนี้กำลังดำเนินการสร้างระบบรถไฟใต้ดินในกรุงริยาดมูลค่า 22.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ราชอาณาจักรกำลังพยายามกระจายการลงทุนในระบบเศรษฐกิจเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน
ที่มา อาหรับนิวส์