รัสเซียงดออกเสียง มติ UN บอยคอตกบฏชีอะห์-บัญชีดำลูกชายอดีตผู้นำเยเมน

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีมติห้ามขายอาวุธแก่กบฏชีอะห์ฮูธีย์ที่ยึดอำนาจเกือบทั่วเยเมน พร้อมทั้งขึ้นบัญชีดำหัวหน้ากบฏและบุตรชายของอดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเละห์ เมื่อวานนี้ (14 เม.ย.) โดยรัสเซียซึ่งมีอำนาจที่จะวีโตมติดังกล่าวได้ของดออกเสียง

ร่างมติซึ่งเสนอโดยจอร์แดนกับกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับผ่านความเห็นชอบจากสมาชิก UNSC 14 ประเทศ ยกเว้นรัสเซียซึ่งงดออกเสียง โดยอ้างว่าข้อเสนอบางอย่างจากฝ่ายตนถูกเพิกเฉย

“สมาชิกผู้ร่างมติปฏิเสธเงื่อนไขของรัสเซียที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนในความขัดแย้งหยุดยิงและเริ่มกระบวนการเจรจาสันติภาพโดยเร็ว” วิทาลีย์ เชอร์คิน เอกอัครราชทูตผู้แทนรัสเซียประจำยูเอ็น กล่าวต่อที่ประชุมหลังการโหวตเสร็จสิ้นลง

ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรอ่าวอาหรับเปิดฉากโจมตีทางอากาศเพื่อสกัดการคุกคามของกบฏชีอะห์ฮูธีย์ในเยเมนมาตั้งเดือนที่แล้ว ขณะที่อิหร่านออกมาประณามและพยายยามส่งความช่วยเหลือให้กบฏชีอะห์ฮูธีย์ทั้งทางอากาศและทางเรือ แต่ถูกสกัด

“คำสั่งห้ามค้าอาวุธควรเป็นไปอย่างครอบคลุม เพราะก็ทราบกันดีแล้วว่าอาวุธจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปในเยเมน… ร่างมติฉบับนี้ไม่ควรจะถูกใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นการต่อสู้ให้รุนแรงขึ้นไปอีก” เชอร์คินกล่าว

ด้านคณะกรรมการปฏิวัติสูงสุดของกบฏชีอะห์ฮูธีย์ในเยเมน ออกมาประณามร่างมติ UNSC ว่าเป็นการส่งเสริม “ความก้าวร้าว”

เหตุจลาจลนองเลือดแผ่ลามไปทั่วเยเมนนับตั้งแต่กบฏชีอะห์ฮูธีย์ที่มีอิหร่านหนุนหลังใช้กำลังบุกยึดกรุงซานาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ขณะที่ประธานาธิบดีอับดุลรับบูห์ มันซูร์ ฮาดี ถูกใช้กำลังปิดล้อมบีบบังคับให้ลาออก และต้องลี้ภัยไปซาอุดีอาระเบียในที่สุด

UNSC ยังมีคำสั่งห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สินทั่วโลกของอะหมัด ซอเละห์ อดีตหัวหน้าหน่วยรีพับลิกันการ์ดซึ่งเป็นบุตรชายแท้ๆ ของผู้นำเยเมนคนก่อน รวมไปถึงผู้นำสูงสุดของกบฏชีอะห์ฮูธีย์อย่างอับดุลมาลิก อัล-ฮูธีย์

อดีตประธานาธิบดีซอเละห์กับแกนนำอาวุโสของกบฏฮูธีย์อีก 2 คน คือ อับดุลคอลิก อัล-ฮูธีย์ และอับดุลเลาะห์ ยะห์ยา อัล-ฮะกีม ถูก UNSC ประกาศขึ้นบัญชีดำไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

การยึดอำนาจของกบฏชีอะห์ฮูธีย์มีเหล่าทหารที่ยังภักดีต่อซอเละห์อดีตผู้นำทรราชที่ถูกชาวเยเมนขับไล่เป็นกำลังสำคัญ และแม้จะเริ่มต้นจากการแก่งแย่งอำนาจภายใน แต่วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็ได้กลายเป็นสงครามตัวแทนระหว่างซาอุดีอาระเบียและชาติมุสลิมอื่นๆ กับอิหร่านซึ่งนับถือศาสนาชีอะห์และถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังกบฏชีอะห์ฮูธีย์

ซาอุฯ และมหาอำนาจหลายประเทศเปิดเผยตรงกันว่าอิหร่านติดอาวุธให้กบฏชีอะห์ฮูธีย์ซึ่งถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของเยเมน แต่อิหร่านก็ปฏิเสธ แต่ก็ออกมาประณามปฎิบัติการของซาอุฯ และพยายามส่งความช่วยเหลือทั้งทางอากาศ และทางทะเลให้กับกบฏชีอะห์ฮูธีย์ แต่ถูกสกัดไว้ ไปพร้อมๆ กับข้ออ้างว่าต้องการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลเยเมนชุดใหม่โดยเร็ว โดยอิหร่านยินดีที่จะสนับสนุนให้เยเมนก้าวพ้นช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองนี้ไปได้

มติของ UNSC เรียกร้องให้กบฏชีอะห์ฮูธีย์วางอาวุธ และถอนกำลังออกจากทุกพื้นที่ที่ยึดไว้รวมถึงกรุงซานา นอกจากนี้ยังตำหนิ “พฤติกรรมบ่อนทำลาย” ของอดีตประธานาธิบดี ซอเละห์ และขอให้เลขาธิการสหประชาชาติ บัน คีมูน “อำนวยการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการอพยพคน ตลอดจนร่วมมือกับรัฐบาลเยเมนในการระงับสงครามเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม”

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น