แจ้งความตำรวจหลัง 22 ผู้แสวงบุญถูกแซะลอยแพทิ้งไว้ที่สนามบินหาดใหญ่

ผู้แสวงบุญในพื้นที่ จ.สงขลา และ จ.ปัตตานีจำนวน 22 คน ถูกลอยแพที่ท่าอากาศยานหาดใหญ่ไม่สามารถเดินทางได้ ด้านบริษัทผู้ประกอบการเผยแซะหรือผู้นำกลุ่มจ่ายเงินไม่ครบค้างอยู่ 2 ล้านบาท แต่ทางบริษัทได้สำรองจ่ายให้ทุกคนพร้อมเดินทางได้ในค่อวันนี้ แต่แซะกลับมาหายตัวไม่ยอมนำทั้งหมดมาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ

วันจันทร์ (15 สิงหาคม) ผู้สื่อข่าว MGR Online รายงานว่าที่ สภ.คลองหอยโข่ง อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ได้มีกลุ่มผู้แสวงบุญ จำนวน 4 คน จากทั้งหมด 22 คนทั้งในพื้นที่ จ.สงขลา และ จ.ปัตตานี ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สุรเชษฐ์ ปาณียะ สารวัตรสอบสวน หลังจากที่ได้เดินทางมาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินหาดใหญ่เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ตั้งแต่เวลา 8.00 น.ของวันจันทร์ แต่ไม่สามารถเดินทางได้

โดยขนทั้งสัมภาระรวมทั้งญาติอีกนับร้อยคนที่เดินทางด้วยรถบัส 2 คันและรถยนต์ส่วนตัวพากันมาส่ง แต่ปรากฏว่ารอจนกระทั่ง 14.00 น.ก็ยังไม่สามารถขึ้นเครื่องได้ รวมทั้งไม่สามารถติดต่อกับแซะหรือผู้นำกลุ่มที่จะพาเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้หลังจากที่นัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อว่าอาจมีปัญหาหรือถูกหลอกจึงได้พากันมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.คลองหอยโข่ง 4 คน ส่วนที่เหลือกระจายไปแจ้งตามโรงพักต่างๆ ที่มีภูมิลำเนาอยู่

นางดารีเย๊าะ โต๊ะเกม ชาว อ.จะนะ จ.สงขลา เปิดเผยว่า ในวันนี้(จันทร์ 15)มีกลุ่มผู้แสวงบุญจากอ.จะนะ อ.เทพา และจาก จ.ปัตตานี จำนวน 22 คน ได้เดินทางมาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินหาดใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สมัครไปประกอบพิธีฮัจย์กับ นายราเมศ อนันทบริพงศ์ หรือฮัจยีฟัตตะ ชาวอ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งเป็นแซะหรือผู้นำกลุ่ม โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางคนละ 205,000 บาทซึ่งจ่ายไปหมดแล้ว โดยตนไปพร้อมกับสามีและจ่ายไปครบแล้วเป็นเงิน 410,000 บาท

นางดารีเย๊าะ กล่าวว่า เมื่อคืนนี้(อาทิตย์ 14)ได้ติดต่อกับ นายราเมศ และยืนยันว่าเดินทางได้แน่นอนและมีการนัดหมายให้มาพบกันที่สนามบินหาดใหญ่ในเวลา 8.00 น. แต่ปรากฏว่ากลับรอเก้อตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงบ่ายไม่สามารถเดินทางได้ และไม่สามารถติดต่อ นายราเมศ หรือฮัจยีฟัตตะ ได้ มีเพียงภรรยา ของนายฟัตตะ ที่เดินทางมาด้วยและเป็นหนึ่งใน 22 คนที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์กลุ่มนี้ด้วยและถึงกับเป็นลมล้มพับต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลเนื่องจากเครียดที่ถูกสอบถามถึงปัญหาที่เกิดเหตุขึ้นแต่ไม่สามารถติดต่อสามีหรือให้คำตอบใดๆได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.คลองหอยโข่ง 4 คน ส่วนที่เหลือทยอยเดินทางกลับและไปแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่

นางดารีเย๊าะ กล่าวว่า เสียใจมากที่ไม่สามารถเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้เพราะเก็บเงินมาตลอดชีวิตโดยสมัครมาตั้งแต่ปี 2556 และต้องการให้แซะนำเงินทั้งหมดมาคืนจะไม่เอาเรื่องเพื่อเตรียมเดินทางไปในปีถัดไป

อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นทางผู้สื่อข่าว MGR Online ได้ติดต่อไปยังบริษัทที่นำผู้แสวงบุญกลุ่มนี้ไปประกอบพิธีฮัจย์ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้รับการยืนยันว่า ทั้ง 22 คนมีกำหนดเดินทางไปแสวงบุญโดยขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิในเวลา 21.30 น.คืนนี้(จันทร์ 15)และทุกขั้นตอนเรียบร้อยหมดแล้วทั้งเรื่องของวีซ่าและที่พัก

แต่ปัญหาติดอยู่ที่แซะ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องเงินที่เรียกเก็บมาจากผู้แสวงบุญทั้ง 22 คน ซึ่งต้องชำระให้กับบริษัททั้งหมด 2,700,000 บาท แต่จ่ายมาเพียง 950,000 บาท และยังค้างอยู่อีก 1,750,000 บาท ซึ่งเงินในส่วนที่ค้างอยู่ทางบริษัทได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้วเพื่อดำเนินการให้ผู้แสวงบุญทั้ง22 คนได้เดินได้ตามกำหนด

แต่ปรากฏว่าแซะกลับหายตัวไปไม่สามารถติดต่อได้และปล่อยลอยแพผู้แสวงบุญอยู่ที่สนามบินหาดใหญ่ ทั้งนี้หากผู้แสวงบุญทั้ง 22 คนต้องการที่จะเดินทางจะต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทคนละ 1 แสนบาท ซึ่งเป็นเงินส่วนต่างที่บริษัทได้ชดเชยไปให้ก่อน และให้ไปเคลียร์หรือฟ้องร้องกลับจากแซะทีหลัง เพราะทางบริษัทไม่สามารถแบกรับภาระขาดทุนเกือบ 2 ล้านบาทที่แซะค้างจ่ายได้ หรืออีกกรณีคือแซะต้องมาเคลียร์ปัญหาเรื่องเงินที่ค้างจ่ายกับบริษัทให้จบ

อย่างไรก็ตามทางบริษัทยืนยันว่าแม้ว่าในวันนี้จะเดินทางไม่ได้แต่หากแซะหรือผู้แสวงบุญเคลียร์ปัญหาเรื่องเงินได้ก็ยังสามารถเดินทางได้อีกในวันที่ 18 และ 25 สิงหาคม นี้

ทั้งนี้เมื่อ วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2559 ในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 1/2559 ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีมติให้ ความผิดกรณีกล่าวหาว่ามีกลุ่มบุคคลมีพฤติการณ์หลอกลวงชาวมุสลิมว่าสามารถประสานการ เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยเรื่องนี้เป็นการอ้างความเชื่อทางศาสนาอิสลาม ไปหลอกลวงประชาชนมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่ามีโควต้าสำหรับเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียสำหรับ มุสลิมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งตามปกติจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 180,000 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องการประสานงาน คนละ 15,000 บาท โดยมีประชนชนพี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลงเชื่อ ทราบจำนวนในเบื้องต้นกว่า 500 ราย ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงมติรับไว้เป็นคดีพิเศษ

ความคิดเห็น

comments