นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักจุฬาราชมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 49/2559 ฝ่ายองค์กรศาสนาอิสลาม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่ง คสช.ที่ 49/2559 เรื่องมาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกําหนดมาตรการและกลไกในการส่งเสริมความเข้าใจอันดี และความสมานฉันท์ ต่อศาสนิกของทุกศาสนา ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ร่วมประชุมกับผู้แทนองค์กรศาสนาตามคำสั่ง คสช.โดยมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในฝ่ายศาสนาอิสลามได้เสนอกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีตาม 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
1.การส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา เสนอให้หลักสูตรการสอนศาสนาทุกระดับชั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และจัดทำคู่มือการสอนให้ครู รวมถึง ผู้บริหารสถานศึกษาด้วย และได้เสนอให้ทั้ง 5 ศาสนาต้องอบรมครูสอนศาสนาอย่างชัดเจน
2.การส่งเสริม และสนับสนุนการเผยแผ่หลักธรรมที่ถูกต้อง เสนอให้ตั้งสถาบันพัฒนาผู้นำยุคใหม่ เนื่องจากผู้นำศาสนาฝ่ายอิสลามรุ่นก่อนๆ ยึดหลักอาวุโสในการปกครอง จึงอาจไม่ยอมรับยุทธศาสตร์ใหม่ และเสนอให้จัดตั้งเครือข่ายเยาวชนด้านศาสนา เพื่อเข้าอบรมวิธีปฏิบัติตามหลักคำสอนที่ถูกต้อง เพื่อนำไปถ่ายทอดกับเด็กในชุมชน
3.อุปถัมภ์ศาสนา ต้องขอความร่วมมือให้หน่วยงานจากรัฐบาลมาช่วยดูแล
4.คุ้มครองป้องกันการบ่อนทำลายศาสนา ต้องพึ่งหน่วยงานจากภาครัฐที่มีอำนาจโดยตรง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาดูแลควบคุมผู้ที่เข้าข่ายบ่อนทำลายศาสนา เนื่องจากทุกศาสนายังไม่มีกฎหมายในการอุปถัมภ์คุ้มครองที่ชัดเจน ทั้งนี้ ต้องสร้างความเข้าใจกับคนในท้องถิ่นให้มากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องใบปลิว หรือข้อมูลที่บิดเบือนในโซเชียลมีเดีย
5.การสร้างความเข้าใจอันดี และความร่วมมือระหว่างศาสนา เสนอให้ 5 ศาสนาจัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ เสนอให้ทำประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติทราบถึงข้อปฏิบัติ และข้อยกเว้น ขณะเข้าไปท่องเที่ยวตามศาสนสถานต่างๆ ของทุกศาสนา
และ 6.สร้างการรับรู้ และความเข้าใจในกิจการศาสนา เสนอให้พูดถึงหลักคุณธรรมจริยธรรมทุกครั้งก่อนเริ่มการประชุม
“นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เสนอแนวคิดให้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังทางศาสนา โดยให้ทุกศาสนามารวมอยู่ศูนย์เดียวกัน เพื่อช่วยกันสอดส่อง และเฝ้าระวังผู้ที่ไม่หวังดีต่อศาสนา อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์ทั้ง 6 ข้อ ยังต้องหารือกันอีก เพื่อลงรายละเอียดในข้อเสนอต่างๆ และเมื่อเสนอจนผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยจะลงพื้นที่ โดยให้เวลาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทำความเข้าใจกับชาวมุสลิมในภาคใต้” นายคัมภีร์กล่าว
ที่มา มติชน