มติชนออนไลน์ รายงานว่านายชาญณรงค์ บุญหนุน อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในฐานะนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา เปิดเผยกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่ง คสช.ที่ 49/2559 เรื่องมาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นต้น ร่วมกันกําหนดมาตรการและกลไกในการส่งเสริมความเข้าใจอันดี และความสมานฉันท์ ของศาสนิกชนของทุกศาสนา เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 3 เดือน และรายงานความก้าวหน้าปัญหา และอุปสรรค ตลอดจนแนวทางแก้ไขให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก 3 เดือน ซึ่งผู้แทน 5 ศาสนาได้ร่วมกำหนดมาตราการออกเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ก่อนเสนอ ครม.ว่า หลังเห็นภาพรวมของ 6 ยุทธศาสตร์ในเบื้องต้น ที่ผู้แทน 5 ศาสนาเสนอให้หน่วยงานภาครัฐออกมาตราการป้องกันผู้ที่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสดา และเข้าข่ายบ่อนทำลายศาสนา นอกจากนี้ ยังเสนอให้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังทางศาสนาร่วมกัน 5 ศาสนา และจัดกิจกรรมให้เยาวชน 5 ศาสนา เรียนรู้ และสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ตนมองว่าแนวทางที่เสนอสรุปออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เสนอเพื่อหาแนวทางปกป้องศาสนาของตนเอง และส่วนที่เป็นกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมในส่วนแรก ที่มีลักษณะหาวิธีการมาปกป้องศาสนาของตนเอง เพราะมองแล้วไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากยุคนี้ประชาชนค่อนข้างมีเสรีภาพ สามารถวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาได้ หากแต่ละศาสนาไม่ยอมรับคำวิจารณ์ จะทำให้สังคมอ่อนแอ และไม่เกิดการแก้ไข ดังนั้น ทุกศาสนาควรออกมาชี้แจงคำวิจารณ์ ไม่ใช่หาวิธิป้องกันคำวิจารณ์
นายชาญณรงค์กล่าวต่อว่า สังคมตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่แต่ละศาสนาควรจะทำคือเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายในสังคม ไม่ใช่นำวิธีการที่ใช้กับสังคมดั้งเดิมในอดีต มาใช้ในสังคมปัจจุบัน ทั้งนี้ เห็นด้วยในส่วนกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่มีแนวคิดนำยาวชนแต่ละศาสนามาร่วมกิจกรรมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน การสร้างเยาวชนเข้ามารับมือกับความหลากหลายในสังคม จะสามารถตอบคำวิจารณ์ ได้อย่างนุ่มนวล อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ ผู้นำศาสนาสามารถจัดกิจกรรมได้เองโดยไม่ต้องผ่านรัฐบาล เพราะถ้าหากกิจกรรมเช่นนี้ไม่คิดเอง จะเป็นผู้นำศาสนาได้อย่างไร ที่สำคัญแนวทางที่กำหนดมาทั้งหมดนี้ ต้องเปิดกว้างให้ผู้ไม่มีศาสนาด้วย เพราะยุคนี้เป็นยุคที่มีคนหลายชาติพันธุ์ มีความคิดต่างกันมากมาย ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องศาสนา ปัญหานี้ผู้นำศาสนาจะจัดการโดยการเข้าไปทำความเข้าใจกับคนกลุ่มนี้อย่างไร
“การจัดกิจกรรมให้ศาสนิกแต่ละศาสนาเรียนรู้เคารพซึ่งกันและกัน จะช่วยแก้ปัญหาความแตกแยกระหว่างศาสนาได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เพียงพอหากนำกิจกรรมดังกล่าวมาใช้กับคนในสังคมโดยรวม และแนวคิดนี้มั่นใจได้อย่างไรว่าจะจัดการปัญหาระดับชาติได้ ดังนั้น ควรต้องมองแนวทางแก้ปัญหามากกว่าเป็นเรื่องศาสนา” นายชาญณรงค์กล่าว