ผู้คนหลายร้อยชีวิตรวมตัวประท้วงต่อต้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส ในวันเสาร์ (19) โดยกลุ่มผู้ประท้วงต่างแสดงความกังวล ว่า ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาผู้นี้ที่จะก้าวขึ้นครองอำนาจต่อจากประธานาธิบดี บารัค โอบามา ในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า จะเคารพหลักสิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี และสิทธิของชนกลุ่มน้อยในอเมริกาหรือไม่
รายงานข่าวระบุว่า การประท้วงที่เกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวงของฝรั่งเศส ไม่ไกลจากที่ตั้งของ “หอไอเฟล” ในครั้งนี้ มีชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศสเข้าร่วมด้วยจำนวนหนึ่ง และผู้เข้าร่วมการประท้วงต่างมีการชูป้ายที่มีข้อความต่อต้านทรัมป์ที่หลากหลาย รวมถึงป้ายที่มีข้อความว่า “Paris against Trump” และข้อความอื่นๆ ที่มีเนื้อหาต่อต้านการเหยียดสีผิว การดูหมิ่นสตรีเพศ การต่อต้านลัทธิเกลียดกลัวอิสลาม เรื่อยไปจนถึงการต่อต้านขบวนการชาตินิยมของพวกคนผิวขาวหัวสุดโต่ง
ด้าน ยูซุฟ อัล-มูกราบี นักศึกษาชาวอเมริกันในกรุงปารีส ซึ่งเกิดที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เผยต่อเอพี ว่า การประท้วงของพวกเขาไม่ได้พุ่งเป้าประท้วงไปที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่อย่างใด แต่พวกเขาเชื่อว่า ในทุกๆ ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นั้น จะต้องมีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งพวกเขาขอทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นของอเมริกา ที่จบลงด้วยชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีฝีปากกล้าจากนิวยอร์กผู้เป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ที่ชนะด้วยระบบคณะผู้เลือกตั้ง แต่แพ้คะแนนเสียงของทั้งประเทศที่ทำเอาทั่วทั้งโลกตกตะลึงไปหลายชั่วยาม
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ออกมาระบุว่า ทรัมป์ ได้คะแนน “Popular vote” หรือคะแนนโหวตจากเสียงจริงของประชาชน 59.1 ล้านเสียง น้อยกว่า ฮิลลารี คลินตันที่ได้ 59.29 ล้านเสียง แต่ทรัมป์กลับเป็นฝ่ายชนะด้วยข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญอเมริกัน ที่ระบุให้ยึดถือคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ที่มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 538 คน ซึ่งมาจากตัวแทนตามจำนวนเขตการปกครอง 438 คน บวกกับวุฒิสภา 100 คน
ด้วยระบบดังกล่าวส่งผลให้ ทรัมป์ ซึ่งคว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้งมาครองได้ถึง 276 เสียง (ฮิลลารีได้ 218 เสียง) ทรัมป์เลยได้กลายเป็น ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ และจะได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันภายหลังการเข้าทำพิธีสาบานตน วันที่ 20 มกราคม ปี 2017
อย่างไรก็ดี หลังเขาชนะการเลือกตั้ง กระประท้วงทั่วสหรัฐฯ ก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมากต่างพากันเดินชูป้าย ที่มีเนื้อหาว่า “ทรัมป์มิใช่ประธานาธิบดีของฉัน” (NOT MY PRESIDENT) และอีกหลากหลายข้อความ ที่มีเนื้อหาชี้ให้เห็นถึงรูโหว่ของประชาธิปไตยสไตล์อเมริกัน ที่มองข้ามความสำคัญของเสียงโหวตจากประชาชนในการตัดสินผลการเลือกตั้ง แทนที่จะเป็นการปล่อยให้ผู้แพ้คะแนน Popular vote เป็นฝ่ายชนะแบบค้านสายตาเฉกเช่นเดียวกับการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯสุดอื้อฉาวอีก 4 ครั้ง ในปี ค.ศ.1824, 1876, 1888 และการเลือกตั้งเมื่อปี 2000