ทรัมป์ไม่สนมาตราฐานจริยธรรม ประกาศแค่จะโอนธุรกิจให้ลูกบริหารแทน

ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันพุธ (11 มกราคม)ในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกภายหลังชนะเลือกตั้ง โดยยืนยันว่าเขาจะยังคงเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจระหว่างรับตำแหน่งประมุขอเมริกัน แต่โอนให้ลูกชายสองคนบริหารแทน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากพวกผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและจริยธรรมว่า วิธีการนี้ไม่ช่วยป้องกันปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน และต่ำกว่ามาตรฐานที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯทุกคนในรอบ 40 ปีที่ผ่านมายึดถือปฏิบัติ

ระหว่างการจัดแถลงข่าวครั้งแรกหลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน โดยที่ยังเหลือเวลาไม่ถึง 10 วันก่อนที่เขาจะสาบานตัวเข้าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 ทรัมป์ระบุว่าจะลาออกจากทุกตำแหน่งในอาณาจักรธุรกิจที่ประกอบด้วยโรงแรม สนามกอล์ฟ และกิจการอีกนับร้อยแห่งใน 20 ประเทศ รวมทั้งโอนทรัพย์สินทั้งหมดเข้าสู่กองทุนทรัสต์ โดยอ้างว่าจะเป็นการรับประกันว่า เขาจะไม่ดำเนินการใดๆ ในตำแหน่งประธานาธิบดีที่อาจเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง แต่ทว่ากองทุนทรัสต์ดังกล่าว กลับเป็นกองทุนทางการเงินที่ทรัมป์ตั้งขึ้นเองเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารธุรกิจของตนในช่วงที่อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีลูกชาย 2 คนของเขาเป็นผู้บริหารกองทุนแทนเขา

รธุรกิจของทรัมป์ ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัทแม่ที่ใช้ชื่อว่า เดอะ ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น นั้น ยังคงเป็นบริษัทส่วนตัวที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น ดังนั้นจึงไม่ต้องเปิดเผยผลประกอบการต่อสาธารณชน นอกจากนั้นตัวทรัมป์เองยืนกรานจะไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดการเสียภาษีและการขอคืนภาษีของเขา โดยอ้างว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบของทางการ ถึงแม้สำนักงานสรรพากรบอกว่าหากเจ้าตัวต้องการจะเปิดเผยแล้วก็สามารถทำได้เลย ด้วยเหตุนี้ สาธารณชนจึงยังคงไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินทั้งหลายซึ่งว่าที่ประมุขทำเนียบขาวผู้นี้ครอบครองอยู่

ทรัมป์ กำลังถูกกดดันอย่างหนักด้วยมาตราฐานด้านจริยธรรมให้วางมือจากธุรกิจของตนเองก่อนสาบานตัวเข้าสู่ทำเนียบขาวในวันที่ 20 นี้ แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้ว กฎหมายไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนให้ประธานาธิบดีต้องหลีกเลี่ยงแนวโน้มของการมีผลประโยชน์ทับซ้อน เหมือนกันเจ้าหน้าที่รัฐบาลตำแหน่งอื่นๆ ก็ตาม

แต่ นอร์แมน ไอเซน อดีตหัวหน้าที่ปรึกษากฎหมายด้านจริยธรรมของทำเนียบขาวในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามาจากพรรคเดโมแครตที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง แสดงความเห็นว่า การจัดการดังกล่าวยังไม่เพียงพอ และการดำเนินการอย่างเลินเล่ออาจนำไปสู่กรณีอื้อฉาวและการทุจริต

เช่นเดียวกับ วอลเตอร์ โชบ ผู้อำนวยการสำนักงานจริยธรรมรัฐบาล กล่าวในงานประชุมของกลุ่มคลังสมองกลุ่มหนึ่งในวอชิงตันว่า สำนักงานของเขาซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐทำหน้าที่กำกับสอดส่องผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่มีอำนาจกล่าวโทษฟ้องร้องนั้น แนะนำทรัมป์ว่าขณะเข้ารับตำแหน่ง ให้ขายทรัพย์สินที่อาจมีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนไปเสีย และสำทับว่า วิธีการจัดการที่ทรัมป์ประกาศออกมาในวันพุธ (11) ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคนในรอบสี่ทศวรรษที่ผ่านมายึดถือปฏิบัติ นับจากที่รัฐสภาผ่านกฎหมายจริยธรรมในปี 1978 และหลังจากคดีอื้อฉาววอเตอร์เกต

ล่าสุด ดูเหมือนเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์จากนิวยอร์ก ยังไม่ได้วางมือจากธุรกิจ โดยทรัมป์ เพิ่งกล่าวว่า ได้ปฏิเสธข้อตกลงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในดูไบมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เชอรี ดิลลอน ที่ปรึกษากฎหมายของทรัมป์ แถลงว่า คำมั่นข้อหนึ่งในการแก้ข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็คือ ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่นจะไม่ทำสัญญาใหม่ๆ นอกสหรัฐฯ ขณะที่ทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดี และจะดำเนินโครงการในประเทศหลังจากได้รับการรอนุมัติจากปรึกษาด้านจริยธรรมของบริษัทเท่านั้น

พวกผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรมจำนวนมากต่างเรียกร้องให้ทรัมป์ขายทรัพย์สินทั้งหมด หรือไม่ก็ตั้งกองทุนทรัสต์ที่เรียกว่า blind trust ซึ่งมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกเป็นผู้บริหารจัดการ โดยที่เจ้าของทรัพย์สินจะไม่รู้ว่า ตนมีทรัพย์สินอะไรบ้างหรือมีการจัดการทรัพย์สินนั้นอย่างไร ทว่าทรัมป์กลับยืนกรานที่จะไม่ขายธุรกิจ แต่โอนการควบคุมทั้งหมดให้อิริกและโดนัลด์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตและคนที่สอง เป็นผู้จัดการ ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐาน

ทั้งนี้ จากข้อมูลของพริฟโค ที่รวบรวมข้อมูลทางการเงินและธุรกิจของบริษัทเอกชนนั้น ทรัมป์ ออร์แกไนเซชันว่าจ้างพนักงานราว 22,000 คน และมีรายได้ 9,500 ล้านดอลลาร์ในปี 2014

ทรัมป์ปิดการแถลงข่าวด้วยการพูดติดตลกว่า ถ้าลูกชายสองคนทำงานห่วย อีก 8 ปีเขาจะกลับมาและบอกทั้งคู่ว่า “พวกนายถูกไล่ออก” ซึ่งเป็นวลีฮิตจากเรียลลิตี้โชว์ “ดิ แอปเพรนทิซ” ที่เขาเคยเป็นผู้ดำเนินรายการ และเป็นสิ่งยืนยันว่าธุรกิจทั้งหมดยังคงอยู่ในมือเขาตลอดช่วงการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ความคิดเห็น

comments