พม่าอาจใช้วิธีการทางระบบระเบียบต่างๆ กำจัดชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮิงญาในประเทศหลังการปราบปรามด้านความมั่นคงต่อคนกลุ่มนี้ ผู้สืบสวนสิทธิมนุษชนในพม่าของสหประชาชาติ ระบุเมื่อวันจันทร์ (13 มีนาคม)
สำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ กล่าวเมื่อเดือนก่อนว่า เหตุสังหาร และข่มขืนที่เกิดขึ้นอาจมีความรุนแรงเทียบได้กับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการล้างเผ่าพันธุ์
ยางฮี ลี ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติกล่าวต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ว่า ทางการพม่ายังคงทำให้การใช้ชีวิตของชาวโรฮิงญาเป็นไปอย่างยากลำบากด้วยการรื้อถอนบ้านเรือน และดำเนินการสำรวจครัวเรือน
“การดำเนินการสำรวจครัวเรือน ที่ทำให้ผู้ที่ไม่ปรากฏตัวหลุดออกจากรายชื่อ ซึ่งเป็นเพียงเครื่องพิสูจน์สถานะทางกฎหมายเพียงอย่างเดียวของพวกเขาในพม่า ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลอาจพยายามที่จะขับไล่ชาวโรฮิงญาออกจากประเทศไปทั้งหมด ฉันหวังอย่างจริงใจว่าจะไม่เป็นกรณีเช่นนั้น” ยางฮี ลี กล่าว
ทหารพม่าเริ่มปราบปรามในพื้นที่ทางเหนือของรัฐยะไข่ หลังตำรวจ 9 นาย ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม และนับแต่นั้น ชาวโรฮิงญาราว 75,000 คน ได้หลบหนีไปบังกลาเทศ ที่ลี กล่าวว่า เธอได้ยินเรื่องราวที่ทรมานจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฉันได้ฟังข้อกล่าวหาอันน่ากลัว เช่น การฆ่าปาดคอ การกราดยิงตามอำเภอใจ วางเพลิงเผาบ้านโดยที่มีคนถูกมัดอยู่ด้านใน และโยนเด็กเล็กเข้าไปในกองไฟ รวมทั้งการรุมข่มขืน และความรุนแรงทางเพศอื่นๆ” ยางฮี ลี กล่าวต่อคณะมนตรี
ลี เดินทางเยือนพม่าสองครั้งในปีที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐยะไข่ และถูกขัดขวางในนาทีสุดท้ายของการเยือนรัฐกะฉิ่น ซึ่งเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เกิดเหตุรุนแรงทางชาติพันธุ์
ถิ่น ลิน ทูตพม่า เรียกข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีการพิสูจน์ตรวจสอบ และเป็นข้อกล่าวอ้างฝ่ายเดียว และให้ข้อมูลเสริมว่า ปฏิบัติการด้านความมั่นคงในรัฐยะไข่ได้ยุติลงแล้ว ส่วนการประกาศใช้เคอร์ฟิวก็ผ่อนคลายลงเมื่อต้นเดือน
“สถานการณ์ในรัฐยะไข่มีความซับซ้อนมาก ทำให้การแก้ไขมีความซับซ้อนเช่นกัน ประชาคมโลกจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในเรื่องนี้” ถิ่น ลิน กล่าว
ความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนอาจไม่สามารถแก้ไขได้ภายในเวลา 1 ปี ถิ่น ลิน กล่าว โดยอ้างถึงรัฐบาลของนางอองซานซูจี ที่เข้ามาบริหารประเทศได้เพียง 1 ปี แต่ยางฮี ลี กล่าวว่า จำนวนนักโทษการเมืองของพม่าเพิ่มขึ้น 2 เท่า เป็น 170 คน ในช่วงเวลาดังกล่าว
เซอิด ราอัด อัล ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาชาติ ได้กล่าวว่า การปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญาควรถูกสอบสวน และตรวจสอบโดยศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่พม่ามีแนวโน้มที่จะไม่ต้องเผชิญต่อการตรวจสอบจากนานาชาติ เพราะมติคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่ร่างขึ้นโดยสหภาพยุโรปจะปล่อยให้พม่าตรวจสอบเอง
