พม่าควรเริ่มปิดค่ายผู้พลัดถิ่นในรัฐยะไข่ปล่อยให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาได้กลับบ้านโดยทันที ตามการแถลงของคณะกรรมการที่ซูจีตั้งขึ้นภายใต้การนำของโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ
ประชาชนมากกว่า 120,000 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญา อาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้พลัดถิ่นภายในประเทศตั้งแต่ครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงระหว่างชุมชนในรัฐเมื่อปี 2555
“มันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องปิดค่าย และปล่อยผู้คนที่อยู่ในค่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบการเป็นพลเมือง ให้เข้าถึงเสรีภาพในการเคลื่อนไหว และสิทธิของการเป็นพลเมืองทั้งหมด” โคฟี อันนัน กล่าวต่อรอยเตอร์ผ่านทางโทรศัพท์จากนครเจนีวา
“ผู้พลัดถิ่นหลายร้อนคนที่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ และปลอดภัย ควรที่จะดำเนินการโดยทันที อันเป็นขั้นตอนแรก และสัญญาณของความตั้งใจที่ดี” คณะกรรมการ กล่าว
คณะกรรมการยังเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนพิจารณาโครงการตรวจสอบชาวโรฮิงญาเพื่อการเป็นพลเมืองพม่า และเริ่มร่างแผนเกี่ยวกับข้อจำกัดความเคลื่อนไหวจากทั้งชาวมุสลิมโรฮิงญา และชาวพุทธในรัฐยะไข่
หลังรัฐบาลของนางซูจี เข้าบริหารประเทศเมื่อปีก่อน ซูจี ได้แต่งตั้งนายโคฟี อันนัน เป็นหัวหน้าคณะกรรมการที่ปรึกษาในเดือน สิงหาคม โดยคณะกรรมการชุดนี้ที่ประกอบด้วย สมาชิก 9 คน ได้ถูกขอให้เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหารัฐยะไข่ภายในระยะเวลา 1 ปี
ในคำแถลงที่ออกไม่กี่ชั่วโมงหลังคำแนะนำของคณะกรรมการถูกเผยแพร่ สำนักงานของซูจี กล่าวว่า รัฐบาลเห็นด้วยต่อคำแนะนำต่างๆ และเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นผลเชิงบวกต่อกระบวนการสร้างความปรองดอง และการพัฒนาชาติ
สำนักงานของนางอองซานซูจี ระบุว่า คำแนะนำส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยทันที แต่มีบางข้อที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
การทำงานของคณะกรรมการที่ประกอบด้วยชาวพม่า 6 คน และชาวต่างชาติ 3 คน ประสบต่อความท้าทายอย่างมากนับตั้งแต่เกิดเหตุโจมตีด่านชายแดนเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ที่ทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 9 นาย และปฎิบัติการทางทหารของพม่าที่ทำให้ชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนเสียชีวิต บ้านเรือนนับพันหลังถูกเผา และชาวโรฮิงญา 73,000 ต้องหลบหนี้การไล่ล่าเข้าไปในบังกลาเทศ
คณะกรรมการเรียกร้องให้มีการสืบสวนอย่างเป็นกลาง และเป็นอิสระในเหตุปราบปรามที่เกิดขึ้นตามมาของกองกำลังรักษาความมั่นคงในพื้นที่ทางเหนือของรัฐยะไข่
“เราได้ให้คำแนะนำที่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ และช่วยปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้น” โคฟี อันนัน กล่าว และหวังให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อยับยั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน และระหว่างรัฐบาล และชุมชนมุสลิมในรัฐยะไข่ย่ำแย่ลง
ชาวมุสลิมโรฮิงญาประมาณ 1.1 ล้านคน ถูกปฏิเสธการเป็นพลเมืองในพม่า และยังถูกจำกัดความเคลื่อนไหว และการเข้าถึงบริการต่างๆ หลังกลุ่มชาตินิยมชาวพม่ากล่าวหาว่า ชาวโรฮิงญาเหล่านี้เป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ
คณะกรรมการยังระบุว่า รัฐบาลต้องเริ่มลงทะเบียนเกิดชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ ที่ยุติไปตั้งแต่ปี 2555
“มันไม่ใช่เรื่องปกติไม่ว่าประเทศใดในโลกก็ตามที่เด็กแรกเกิดไม่มีสูติบัตร” หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการ กล่าว.
