เกาหลีใต้ออกมาตอบสนองอย่างระมัดระวังในวันที่ 28 เมษายน ต่อการกำหนดแนวทางการป้องกันประเทศสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นขึ้นใหม่ โดยเรียกร้องให้มีการปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับโซลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลี
ภายใต้แนวทางใหม่ดังกล่าว ญี่ปุ่นสามารถสอยขีปนาวุธที่มุ่งไปยังสหรัฐฯ และให้ความช่วยเหลือประเทศที่สามถูกโจมตี หากการโจมตีดังกล่าวถูกพิจารณาแล้วว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของแดนอาทิตย์อุทัย
โซลเป็นกังวลว่า กฎเกณฑ์ใหม่สำหรับความร่วมมือด้านความมั่นคงที่ถูกเผยโฉมออกมาเมื่อวันที่ 27 เมษายน อาจเปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถใช้หลักการของ “การป้องกันตนเองร่วม” ไปทั่วคาบสมุทรเกาหลีโดยปราศจากความยินยอมของพวกเขา
เกาหลีใต้มีทหารสหรัฐฯ ประจำการอยู่ 28,500 คน ซึ่งช่วยปกป้องเกาหลีใต้จากภัยคุกคามโดยเพื่อนบ้านผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างเกาหลีเหนือ
“รัฐบาลคาดหวังว่าสหรัฐฯและญี่ปุ่นจะบังคับใช้แนวทางนี้ในวิถีทางที่ส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค และรักษาไว้ซึ่งการปรึกษาหารือกับเราอย่างใกล้ชิดในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลีและผลประโยชน์ของชาติเรา” กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ ระบุในถ้อยแถลงในวานนี้ (28)
ทางกระทรวงเสริมว่า แนวทางการป้องกันประเทศสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นอันใหม่นี้ดูเหมือนว่าจะได้คำนึงถึงความกังวลของโซลแล้ว และสังเกตเห็นถึงข้อกำหนดการของเคารพอำนาจอธิปไตยของประเทศที่สามอย่างสมบูรณ์
โฆษกกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ยืนยันในวานนี้ (28) ว่า กิจกรรมทางทหารใดๆ ของญี่ปุ่นภายในพื้นที่ปฏิบัติการของเกาหลีใต้ในช่วงสงครามจำเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากโซล
ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นสองพันธมิตรทางทหารหลักของสหรัฐฯ ในเอเชีย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองเพื่อนบ้านนี้นั้นกลับตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา
มรดกตกทอดอันขมขื่นของการปกครองอาณานิคมเหนือคาบสมุทรเกาหลีช่วงปี 1940-1945 ของญี่ปุ่นเป็นประเด็นที่ใหญ่ยิ่งในแดนโสมขาว ซึ่งจดจ่อเฝ้าระวังอย่างยิ่งยวดต่อทุกการแผ่ขยายของกิจกรรมทางทหารหรือขอบเขตของความรับผิดชอบของญี่ปุ่น
ในตอนนี้ยังไม่มีการตอบสนองจากเกาหลีเหนือต่อแนวทางการป้องกันประเทศอันใหม่นี้
เมื่อเดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์ โรดอง ซินมุน ของทางการโสมแดง เตือนว่า แนวทางดังกล่าวเป็นความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะเสริมอำนาจตนเองในการควบคุมภูมิภาคนี้ และจะนำไปสู่ “ความขัดแย้งทางทหารและวิกฤตของการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์”