ระดมทหาร-ใช้เคอร์ฟิวส์ที่’บัลติมอร์’ ยุติจลาจลหลังงานศพ’ผิวสี’ตายขณะถูกตร.จับ

กองทหารอาสารักษาดินแดนกระจายกำลังออกไปทั่วเมืองบัลติมอร์ เมื่อช่วงก่อนรุ่งสางของวันอังคาร (28 เม.ย.) ในเวลาเดียวกัน ตำรวจในชุดปราบจลาจลคอยปิดกั้นถนนสายต่างๆ และพนักงานดับเพลิงต้องฉีดน้ำใส่กองเพลิงหลายๆ จุดที่ยังคุกรุ่น ขณะที่พื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของเมืองใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงวอชิงตัน 64 ก.ม.แห่งนี้ เผชิญเหตุจลาจลที่ปะทุขึ้นหลังจากพิธีศพของ เฟรดดี เกรย์ ชายผิวสีวัย 25 ปีที่เสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจจับกุม

ความรุนแรงซึ่งเริ่มต้นขึ้นในตอนบ่ายวันจันทร์ (27) ไม่ไกลจากสถานที่จัดพิธีศพของ เกรย์ ก่อนจะลุกลามต่อไปทั่วซีกตะวันตกของบัลติมอร์ และพอถึงเวลาเที่ยงคืนก็แผ่ขยายไปที่ย่านตะวันออกของบัลติมอร์ ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งติดกับเขตกลางเมือง

การจลาจลครั้งนี้ กลายเป็นครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของบรรดาเหตุจลาจลซึ่งมีชนวนสืบเนื่องจากการสิ้นชีวิตที่ตำรวจมีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ที่เกิดเหตุประท้วงอย่างไม่ขาดสาย ภายหลังการตายของ ไมเคิล บราวน์ ชายผิวดำไม่มีอาวุธผู้ถูกยิงและสังหารระหว่างทะเลาะกับตำรวจผิวขาวคนหนึ่งในเมืองเฟอร์กูสัน, รัฐมิสซูรี เมื่อปีที่แล้ว

ในบัลติมอร์คราวนี้ มีตำรวจได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 15 คน โดยที่ 6 คนยังคงอยู่ในโรงพยาบาลเมื่อถึงตอนดึกวันจันทร์ ทั้งนี้ตามการแถลงของตำรวจ ขณะที่มีผู้ก่อเหตุถูกจับกุมอย่างน้อย 27 คน

ลาร์รี โฮแกน ผู้ว่าการรัฐแมริแลนด์ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน พร้อมส่งกองทหารรักษาดินแดน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าควบคุมไฟที่ลุกไหม้อาคารและรถยนต์ ภายหลังได้รับการร้องขอจาก สเตฟานี รอว์ลิงส์-เบลค นายกเทศมนตรีหญิงของเมืองบัลติมอร์ เมื่อเห็นว่าตำรวจของเมืองคุมสถานการณ์ไม่อยู่

พล.ต.ลินดา ซิงห์ ผู้บัญชาการกองทหารอาสาดินแดนของรัฐแมริแลนด์ แถลงในคืนวันจันทร์ว่า สามารถระดมกำลังออกมาได้มากถึง 5,000 คน เพื่อเข้ารักษาการตามท้องถนนของบัลติมอร์

ทางด้านนายกเทศมนตรีรอว์ลิงส์-เบลค กล่าวประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุว่าเป็น “อันธพาล” และออกคำสั่งเคอร์ฟิวทั่วเมืองระหว่าง 22.00 น. ถึง 05.00 น.เป็นเวลา 1 สัปดาห์โดยเริ่มตั้งแต่คืนนอังคาร (28) เว้นเฉพาะผู้ที่ทำงานกะกลางคืน หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน ส่วนโรงเรียนภาครัฐในเมืองนี้ต่างประกาศปิดโรงเรียนในวันอังคาร

ข่าวการเสียชีวิตของเกรย์ เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ทำให้สังคมอเมริกันรู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งในเรื่องความรุนแรงที่ตำรวจซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาวกระทำต่อคนผิวสี

ในช่วงแรกๆ ที่เกิดความรุนแรงขึ้นเมื่อบ่ายวันจันทร์ ตำรวจบัลติมอร์ใช้สเปรย์พริกไทยปราบผู้ก่อเหตุซึ่งพยายามบุกเข้าไปปล้นเงินในร้านขายสุรา ก่อนที่การปล้นทรัพย์สินจะลุกลามต่อไปยังห้างสรรพสินค้าอีกแห่ง และมีการทุบทำลายกระจกรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าโรงแรมใหญ่

ผู้ประท้วงยังตัดสายยางฉีดน้ำที่พนักงานดับเพลิงใช้ควบคุมไฟที่ไหม้ร้านขายยาซีวีเอส ซึ่งถูกปล้นและจุดไฟเผาก่อนหน้านั้น

สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลให้โรงเรียน ห้างร้าน และสถานีรถไฟในเมืองซึ่งมีประชากรราว 662,000 คนต้องปิดทำการชั่วคราว

“เหตุการณ์อย่างนี้ยังไงก็ต้องเกิด เพราะประชาชนรับไม่ได้ที่ตำรวจมาฆ่าคนหนุ่มผิวสีอย่างไม่มีเหตุผล ถึงจะเป็นวันที่น่าเศร้าแต่มันก็ต้องเกิดขึ้น” โทนี ลัสเตอร์ วัย 40 ปี ชายพิการซึ่งออกมายืนดูสถานการณ์ใกล้ๆ แถวตำรวจ กล่าว

เกรย์ เสียชีวิตเพราะคอหักระหว่างที่ตำรวจเข้าจับกุมโดยใช้กำลังเกินกว่าเหตุเมื่อวันที่ 12 เม.ย. อีกทั้งในเวลาที่นำตัวเขาขึ้นรถออกไปจากที่เกิดเหตุ ก็มิได้มีการรัดตัวผู้ต้องหาที่ได้รับบาดเจ็บผู้นี้ให้ถูกต้อง ผลการชันสูตรที่ได้รับการเปิดเผยจากทนายความของครอบครัวผู้เสียชีวิตระบุว่า “กระดูกคอได้รับบาดเจ็บสาหัสถึง 80% กระดูกสันหลังส่วนคอหัก 3 ข้อ และกล่องเสียงเสียหาย”

ครอบครัวของเกรย์วิงวอนให้ประชาชนที่เห็นใจชะตากรรมของผู้ตายออกมาชุมนุมโดยสันติ แต่หลังจากเกิดการปล้นชิงร้านค้า ศาสนาจารย์และผู้นำชุมชนก็พยายามออกมาขวางไม่ให้ตำรวจปะทะกับกลุ่มวัยรุ่นผิวสี

ความรุนแรงที่ยกระดับขึ้นอย่างกะทันหันสร้างความตกตะลึงไม่น้อยต่อเจ้าหน้าที่เมืองบัลติมอร์ ซึ่งไม่คาดคิดว่าการชุมนุมโดยสันติตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะกลับกลายเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่

ทางด้านลอเร็ตตา ลีนช์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งเข้าพิธีสาบานตนหมาดๆ เมื่อวันจันทร์ (27) กล่าวประณาม “การกระทำที่ไร้สติและความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นในบัลติมอร์ พร้อมประกาศว่าภารกิจหลักที่เธอจะผลักดันก็คือการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างตำรวจกับชุมชนที่พวกเขาต้องปกป้อง

ตำรวจบัลติมอร์เตรียมสรุปผลการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของ เกรย์ ในวันศุกร์นี้ (1 พ.ค.) ก่อนจะส่งเรื่องไปยังอัยการรัฐ ล่าสุดมีตำรวจถูกพักงาน 6 คน และกระทรวงยุติธรรมก็อยู่ระหว่างตรวจสอบว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายละเมิดสิทธิพลเมืองหรือไม่

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น