“เต็งเส่ง” รับลูกพระลงนามใช้กฎหมายใหม่ สตรีบางกลุ่มต้องเว้นระยะมีลูก 3 ปี

ประธานาธิบดีพม่า ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายฉบับหนึ่งที่กำหนดให้สตรีบางกลุ่มชนต้องทิ้งระยะห่างเป็นเวลา 3 ปี ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง แม้ก่อนหน้านี้กฎหมายดังกล่าวจะถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย รวมทั้งนักการทูตสหรัฐฯ กับนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่วิตกว่าไม่เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่กดขี่สตรีเพศ หากยังอาจจะใช้เพื่อกดขี่ทางด้านศาสนา และชาติพินธุ์อีกด้วย

รัฐบัญญัติการควบคุมประชากรและสุขภาพ ที่ร่างขึ้นภายใต้การกดดันของบรรดาพระสงฆ์ฝ่ายหัวรุนแรงที่ต่อต้านชาวมุสลิมในประเทศอย่างแข็งขัน ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา และประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้ลงนามรับรองเพื่อบังคับใช้แล้ว สื่อของทางการรายงานในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก นายแอนโธนี บลิงเคน (Anthony Blinken) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้พบกับผู้นำสูงสุดของพม่า และแสดงความห่วงใยในเรื่องนี้

พระวิระธู (Wirathu) แกนำพระสงฆ์หัวรุนแรง ต่อต้านอิสลามในพม่า       ขณะที่พม่าซึ่งมีผู้นับถือพุทธศาสนาเป็นประชากรส่วนใหญ่ เริ่มเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เสรีภาพในการแสดงออกได้ช่วยเปิดเผยให้เห็นความเกลียดชังชนกลุ่มน้อยนับถือศาสนาอิสลาม ที่ฝังรกรากมายาวนาน รวมทั้งชาวโรฮิงญามุสลิมที่อพยพหลบหนีไปยังประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ ในเรือเก่าๆ อย่างเบียดเสียดแออัด

ชาวโรฮิงญาจำนวนมากที่หลบหนีการทำร้าย และการใช้ความรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 280 คน กับอีกราว 140,000 คน บ้านเรือนถูกเผาทำลายต้องย้ายไปอยู่ในค่ายอพยพ ในรัฐระไค (Rakhine/ยะไข่) หรือ อารกัน ทางตะวันตกของประเทศ

กฎหมายประชากรซึ่งแม้จะไม่มีบทลงโทษ แต่ก็ได้ให้อำนาจแก่ทางการท้องถิ่นต่างๆ ในการบังคับใช้มาตรการว่างเว้นการตั้งครรภ์ในพื้นที่ที่มีอัตรการเกิดสูง และถึงแม้รัฐบาลจะอธิบายว่า กฎหมายมีจุดประสงค์เพื่อการลดอัตราการตายของมารดา และทารกแรกเกิด แต่นักเคลื่อนไหวได้ตอบโต้ว่า สิ่งนี้เป็นการละเมิดต่อสิทธิแห่งการเจริญพันธุ์ของสตรี และยังสามารถใช้ในการควบคุมการเติบโตของประชากรบางกลุ่มได้อีกด้วย

ชาวพุทธฝ่ายที่แข็งกร้าวได้พูดแบบย้ำคิดย้ำทำให้ชาวพม่าหลงเชื่อว่า ชาวมุสลิมที่มีอัตราการเกิดสูงอาจจะกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศที่มีพลเมือง 50 ล้านคนได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันประชากรชาวมุสลิมในพม่าจะมีจำนวนคิดเป็นเพียง 10% ก็ตาม

“เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก” นางขิ่นเล (Khin Lay) นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีกล่าวถึงการที่ประธานาธิบดีพม่าลงนามบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้

“ถ้าหากรัฐบาลปรารถนาจะพิทักษ์ปกป้องสตรี ก็ควรจะใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วดำเนินการ” นางเลกล่าว

นายบลิงเคน ที่เข้าเยี่ยมคำนับประธานาธิบดีพม่า และได้พบหารือกับผู้บัญชาการกองทัพ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายคนสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แสดงความห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อกฎหมายฉบับนี้

i-News Daily 58-05-24-311m

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น