นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู สั่งปิดตายทางเข้าออกเขตเวสต์แบงก์ และฉนวนกาซาไปจนถึงวันอาทิตย์ (12 มิถุนายน) และส่งทหารอิสราเอล IDF เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์ ด้านสหประชาชาติชี้การกระทำของอิสราเอลเป็นการลงโทษหมู่ชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด
ดิอินดีเพนเดนต์ รายงานเมื่อวันศุกร์ (10 มิถุนายน) โฆษกกองกำลัง IDF ของอิสราเอลได้ออกแถลงการณ์ว่า “การสั่งปิดตายจะดำเนินการไปจนถึงเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ ห้ามการเดินทางข้ามเขตแดนโดยเด็ดขาดเว้นไว้แต่เพียงผู้สูงอายุได้รับอนุญาตให้สามารถเดินทางเข้ามายังอิสราเอลเพื่อปฎิบัติศาสนกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาทุกข์เท่านั้น”
มีชาวปาเลสไตน์จำนวนหลายพันคนที่มีใบอนุญาตจากรัฐบาลอิสราเอลในการเดินทางเข้าไปในดินแดนที่อิสราเอยยึดครองไว้เพื่อประกอบศาสนกิจในเมืองเยรูซาเลม จะไม่ถูกรวมในคำสั่งห้ามครั้งนี้ รายงานจากแถลงการณ์ของ COGAT หน่วยงานภายใต้รัฐบาลอิสราเอลอ้าง
นอกจากนี้ยังพบว่า ที่ผ่านมากองทัพอิสราเอลได้เพิกถอนสิทธิการข้ามแดนของประชาชนชาวปาเลสไตน์ไปแล้ว 83,000 คนไม่ให้เดินทางเข้าไปยังดินแดนที่อิสราเอลยึดครองไว้ ซึ่งทางองค์การสหประชาชาติได้กล่าวว่า นี่อาจนำไปสู่การลงโทษแบบเหมารวมหมู่ ซึ่งผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ต้องรับโทษไปด้วย
ด้านผู้แทนข้าหลวงใหญ่องค์การสหประชาติในส่วนของสิทธิมนุษยชน สอิ๊ด ราอัด อัล-ฮุซเซน (Zeid Ra’ad al-Hussein) ได้ออกมาประณามเหตุการณ์รุนแรงต่อการกระทำของอิสราเอลหลังยกเหตุบุกยิงกลางตลาดกลางเมื่อคืนในวันพุธ(8 มิถุนายน)ที่ผ่านมาเป็นข้ออ้างในการใช้มาตรการรุนแรงโจมตีชาวปาเลสไตน์
“ทางเรารู้สึกวิตกเป็นอย่างมากต่อการตอบโต้ของทางอิสราเอล ซึ่งรวมไปถึงหลายมาตรการที่อาจนำไปสู่การลงโทษหมู่ และลังแต่จะทำให้มีการตอบโต้เกิดขึ้นเพิ่มมากขึ้นในฝั่งปาเลสไตน์ในช่วงระยะเวลาที่ตรึงเครียดเช่นนี้” โฆษก UN ราวินา ชามดาซานี (Ravina Shamdasani) แถลง
และยังกล่าวต่อว่า “อิสราเอลมีพันธสัญญาภายใต้สิทธิมนุษยชนที่ต้องนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่อย่างไรก็ตามมาตรการที่ออกมานั้นกลับกลายเป็นการลงโทษหมู่ที่มีขอบเขตกว้างขวาง ไม่ใช่เจาะจงไปที่ตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บริสุทธ์ชาวปาเลสไตน์นับสิบ หรืออาจเป็นหลักร้อย และหลักพัน จำต้องได้รับผลจากการลงโทษนั้นแทน”
ขณที่หมู่บ้าน ยัตตา (Yatta )ของ 2 ผู้ถูกกล่าวหาก่อเหตุโจมตีชาวอิสราเอลถูกปิดตายตั้งแต่วันพุธ(8 มิถุนายน)ที่ผ่านมา และรวมไปถึงจำนวนของผู้ที่ถูกทหาร IDF จับกุมตัวในขณะบุกค้นอีกไม่ทราบจำนวน และ COGAT ที่ทำหน้าที่จัดการในเขตดินแดนปาเลสไตน์ได้ทำการระงับการอนุญาตในการเดินทางชั่วคราวสำหรับเหตุเยี่ยมญาติ หรือเพื่อการประกอบศาสนกิจในรอมฎอน ส่งผลกระทบต่อชาวปาเลสไตน์ร่วม 83,000 คน และรวมไปถึงระงับการอนุญาตเดินทางเข้าอิสราเอลสำหรับ 204 คนที่เป็นญาติกับผู้ถูกกล่าวหา
ในขณะเดียวกันโฆษกสถานทูตอิสราเอลประจำกรุงลอนดอนได้ให้ความเห็นกับดิอินดีเพนเดนต์ในเรื่องนี้ว่า “จะไม่มีการเดินทางเข้าอิสราเอลไปจนถึงคืนวันอาทิตย์นี้ แต่ถึงแม้จะมีการก่อการร้ายและโจมตีเกิดขึ้น ทางอิสราเอลยังคงอนุญาตให้ผู้ถือใบอนุญาตสามารถเดินทางเข้าไปสวดภาวนาทางศาสนาในเมืองเยรูซาเลมได้ตามปกติ”
โดยการประกาศห้ามเข้าเกิดขึ้นตั้งแต่ในวันศุกร์แรกของรอมฎอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหล่ามุสลิมทั่วโลกต้องการเดินทางไปร่วมประกอบศาสนกิจที่มัสยิดอัลอักซอ (Aqsa Mosque) ในเมืองเยรูซาเลม ซึ่งมัสยิดสำคัญอันดับ 3 ในโลกอิสลาม
อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวปาเลสไตน์ที่มีใบอนุญาตคือชายที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปและสตรี เดินทางเข้าไปในอิสราเอลได้ จะต้องเดินทางกลับบ้านทันทีหลังจากที่เสร็จสิ้นกิจทางศาสนาเรียบร้อยแล้ว