หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
วันพฤหัสบดี (16 กุมภาพันธ์) พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พร้อมคณะ เข้าประชุมติดตามความคืบหน้าพร้อมเร่งรัดโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ร่วมกับพลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร รองเลขาธิการ ศอ.บต. นางพาตีเมาะ สะดียามู รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายปรีชา นวลน้อย นายอำเภอสุไหงโก-ลก นางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก นายศรัณย์ วังสัตตบงกช ประธานหอการค้าจังหวัดนราธิวาส
โดยหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการพัฒนาทั้งระบบของเมืองสุไหงโก-ลก โดยเฉพาะระบบด่านศุลกากร ด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่เดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย หลังจากนั้น หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมโครงการปรับปรุงพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก ที่จะปรับปรุงให้สามารถรองรับการเป็นศูนย์กลางการขนส่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพัฒนาการขนส่งทางรถไฟเชื่อมโยงเมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย รวมถึงโครงข่ายการคมนาคมอื่นๆ เช่น การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 การพัฒนาคลังสินค้าที่สถานีขนส่งสินค้าบริเวณถนนโต๊ะลือเบ ซอย 9 เพื่อพัฒนาให้เป็นคลังสินค้าที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการจัดเก็บ ขนส่ง ผลิต และจัดจำหน่ายไปยังตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกันนี้ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ดิน 25 ไร่ ของการเคหะแห่งชาติ ที่จังหวัดนราธิวาส ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ด้วยเตรียมเปิดเป็นเมืองใหม่ในรูปแบบเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ และแหล่งช้อปปิ้งแบบครบวงจร รวมทั้งรับฟังบรรยายสรุป และตรวจพื้นที่โครงการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานนราธิวาส ให้เป็นท่าอากาศยานที่รองรับและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน อีกทั้ง จูงใจให้มีสายการบินพาณิชย์เข้ามาเปิดสายการบินเพิ่มขึ้น ในช่วงที่พี่น้องมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์
พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กล่าวว่า ทางรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองต้นแบบ จึงเร่งรัดติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้เน้นย้ำให้บูรณาการความร่วมมือกันทุกหน่วยงาน โดยขับเคลื่อนผ่านรูปแบบพลังประชารัฐ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ตามเป้าหมายที่มุ่งยกระดับเมืองสุไหงโก-ลก ให้เป็น “สิงคโปร์ในประเทศไทย” ที่มีความหลากหลายของผู้คนจากทุกเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม ผ่านกระบวนการซื้อขายเชิงพาณิชย์บริเวณการค้าชายแดน รวมทั้งเป็นประตูการค้าชายแดนอาเซียนและนานาชาติ ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าการค้าการนำเข้าและส่งออกเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาทต่อปี พร้อมขยายเป้าหมายการเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ด้วยมาตรการจูงใจและการจัดงานกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อีกทั้ง ประเทศไทยต้องไม่เสียดุลการค้ากับต่างประเทศด้วย ซึ่งในภาพรวมจะเกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน