มีรายงานการก่อวินาศกรรมนอกชายฝั่งฟูไจราห์ต่อเรือพาณิชย์ 4 ลำ – 2 ลำจากซาอุดิอาระเบีย และ 1 ลำจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอีก 1 ลำจากนอร์เวย์
Khalid Al-Falih รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบียกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ (13 พฤษภาคม) ผ่านมาว่าการโจมตี “มีเป้าหมายที่จะบ่อนทำลายเสรีภาพในการเดินเรือทางทะเล และความปลอดภัยของแหล่งน้ำมันไปยังผู้บริโภคทั่วโลก”
เขาเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศในการปกป้องความปลอดภัยในการขนส่งทะเล และความปลอดภัยของเรือบรรทุกน้ำมันเนื่องจากเหตุการณ์เหล่านี้เป็นอันตรายต่อตลาดพลังงาน และเศรษฐกิจโลก
การโจมตีครั้งนี้ทำให้เกิดความเสียหายอย่าง “รุนแรง” ต่อเรือ Al-Falih กล่าว
เรือบรรทุกน้ำมันซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังอ่าวอาหรับ หนึ่งในสองลำกำลังบรรทุกน้ำมันดิบจากท่าเรือราสตานูราของซาอุดิอาระเบียเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา
“แต่การโจมตีไม่ได้นำไปสู่การบาดเจ็บหรือการรั่วไหลของน้ำมัน” Al-Falih กล่าว
Ahmed Aboul Gheit เลขาธิการสันนิบาตอาหรับ กล่าวว่าการกระทำผิดทางอาญาเหล่านี้เป็นการละเมิดเสรีภาพ และความปลอดภัยของเส้นทางการค้า และการขนส่งทางทะเลซึ่งจะยกระดับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค
Mahmoud Afifi โฆษกสันนิบาตอาหรับกล่าวว่า เลขาธิการฯ ระบุว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นภัยคุกคามต่อดินแดนหรือแนวเขตทางทะเล หรือการขนส่ง และเส้นทางการค้าของสมาชิกสันนนิบาตอาหรับ และเป็นการละเมิดความมั่นคงต่อดินแดนอาหรับที่ยอมรับไม่ได้
บาห์เรน, อียิปต์, จอร์แดนและเยเมนอธิบายว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการพัฒนาและการยกระดับอย่างจริงจังซึ่งสะท้อนถึงเจตนาชั่วร้ายของฝ่ายที่วางแผน และดำเนินการเหล่านั้นทำลายความปลอดภัยในการเดินทางในภูมิภาค และคุกคามชีวิตของลูกเรือ เรือเดินทะเล
Abdul Latif Al-Zayani เลขาธิการคณะกรรมการความร่วมมืออ่าวอาหรับกล่าวว่าการโจมตีครั้งนี้ “จะเพิ่มความตึงเครียดและความขัดแย้งในภูมิภาคและเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของประชาชน”
กระทรวงต่างประเทศของ UAE ได้กล่าวในแถลงการณ์ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดและกำลังตรวจสอบสถานการณ์ของเหตุการณ์โดยร่วมมือกับองค์กรระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ
นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติการก่อวินาศกรรมนั้นไม่ได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บขณะที่เพิ่มว่าไม่มีการรั่วไหลของสารอันตรายหรือเชื้อเพลิงจากเรือ
พร้อมระบุว่าการสอบสวนกำลังดำเนินการอยู่ที่ท่าเรือฟูไจราห์โดยไม่มีการหยุดพัก