รัฐบาลศรีลังกาได้จัดตั้งสายด่วนของตำรวจเพื่อให้ชาวมุสลิมรายงานการล่วงละเมิดเนื่องจากชุมชนเข้าถูกโจมตีเพิ่มมากขึ้น นับแต่หลังเกิดเหตุระเบิดโจมตีโบสถ์ และโรงแรมหรูในวันอิสเตอร์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มดาอิช
เจ้าหน้าที่ของศรีลังกากล่าวในวันศุกร์(10 พฤษภาคม)ว่าผู้ตรวจสอบยังคงพยายามข้อมูลเชิงลึกในสิ่งที่เกิดขึ้น
โฆษกกระทรวงกิจการอิสลามกล่าวกับ The Telegraph ว่า“มีผู้โทรศัพท์รายงานเหตุการณ์หลายร้อยคนทุกวัน” โดยพวกเขารายงานเหตุจากความเกลียดชัง และความรุนแรงต่อชาวมุสลิม นับตั้งแต่เหตุโจมตีดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมฮิญาบ หรือเสื้อสวมชุดอะบายะห์
“ชุมชนมุสลิมกำลังถูกคุกคาม และตกเป็นเป้าหมายสำหรับการกระทำที่กระทำโดยบุคคลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” Mufti Mohamed Rizwe ประธาน All Ceylon Jamiathul Ulema (ACJU) แกนนำมุสลิมศรีลังกากล่าว
โฆษกของ ACJU กล่าวกับ The Telegraph ว่า “การกดขี่ต่อต้านมุสลิมอย่างรุนแรงกำลังเกิดขึ้น”
ในศรีลังกามีชาวมุสลิมประมาณ 2 ล้านคนหรือประมาณร้อยละ 10 ของประชากร ที่มีชาวพุทธเป็นส่วนใหญ่
ในเหตุการณ์หนึ่งผู้ปกครองที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในภูวาปปิติยะ(Puwakpitiya)ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกของกรุงโคลัมโบประมาณ 50 กิโลเมตรมีรายงานว่ามีการห้ามเด็กนักเรียนมุสลิมเข้าโรงเรียน และคุกคามครูมุสลิมที่สวมฮิญาบ
“เราถูกคุกคามด้วยความกลัว” Fathima Rahma นักบัญชีที่สวมผ้าคลุมฮิญาบบอกกับ The Telegraph “ฉันกลัวที่จะก้าวเข้าสู่ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือธนาคารเพราะฉันมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และพนักงานที่ตะโกนใส่ฉัน คนขับ Uber ยกเลิกบริการกับฉัน”
ด้านคนขับ Uber ชาวมุสลิมก็รายงานว่ายอดบริหารของเขาตกลงเช่นกัน
การห้ามไม่ให้มีการปิดบังใบหน้า และการตรวจค้นจากตำรวจ และทหาร แม้แต่ในบ้านยังได้เพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาชาวมุสลิมจำนวนมากถูกจับเพราะเป็นเจ้าของโดรนของเล่น ของเล่นเครื่องรับ-ส่งวิทยุ และมีกรณีหนึ่งถูกจับเพราะมีหนังสือ“ หะดีษ” เกี่ยวกับวิถีชีวิตของท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลั๊ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ Rauf Hakeem กล่าวว่ามี “มือที่ซ่อนอยู่” หลังความหวาดกลัวในวันอิสเตอร์ กำลังทำให้ประเทศสั่นคลอน