พลเรือน 40 คนรวมถึงเด็ก และทารก 6 คนถูกฆ่าตายเมื่อวันเสาร์ (13 กรกฎาคม) ในการโจมตีทางอากาศในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ซึ่งเป็นเป้าหมายพลเรือนที่ระบอบการปกครองบาชาร์ อัล-อัสซาด และรัสเซีย เปิดฉากโจมตีอย่างหนักมาตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เดือนรอมฎอน โดยเป้าหมายรวมทั้งโรงเรียน ตลาด และโรงพยาบาล ที่ตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน
เด็กๆ เหล่านี้อยู่ในหมู่พลเรือนที่ถูกสังหารหลังเครื่องบินรบรัสเซียโจมตีค่ายลี้ภัยชั่วคราวของชาวซีเรียพลัดถิ่นในช่วงกลางดึกคืนวันเสาร์ (13) ในช่วงที่พวกเขากำลังนอนหลับ ตามรายงานของกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรีย
ค่ายลี้ภัยผู้พลัดถิ่นแห่งนี้อยู่ใกล้เมืองข่านเชคคุนในจังหวัดอิดลิบพื้นที่ซึ่งเคยถูกโจมตีด้วยอาวุธเคมีจนทำให้เด็กๆ และเรือนจำนวนมากเสียชีวิตจากอาวุธต้องห้ามเหล่านั้น
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชายคนหนึ่งและภรรยาท้องแก่ของเขาถูกสังหารในเมืองเคฟรายาของอิดลิบในการโจมตีทางอากาศโดยฝีมือเครื่องบินไม่ทราบสัญชาติ
อาสาสมัครกู้ภัยอัศวินหมวกขาวพบร่างของเธอและร่างของลูกน้อยที่ดูสมบูรณ์แข็งแรงนอนข้างๆ ท้องที่เพิ่งผ่าคลอดออกจากร่างของเธอทั้งๆ โดยที่สายรกยังคงติดอยู่ ตามรายงานของ AFP
ในตอนเหนือของจังหวัดฮามา พลเรือน 3 คนรวมถึงเด็กคนหนึ่งเสียชีวิตจากกระสุนปืนใหญ่ กลุ่มสังเกตการณ์ ระบุ
เครื่องบินของรัสเซีย และบาชาร์ อัล-อัสซาด ได้ระดมโจมตีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพลเรือนแห่งสุดท้ายของซีเรียแห่งนี้ นับตั้งแต่สิ้นเดือนเมษายน ส่งผลให้พลเรือนถูกฆ่าตายไปมากกว่า 590 ราย ขณะที่อีก 45 คนตายเพราะการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธ
การโจมตีอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องทั้งที่อิดลิบและพื้นที่โดยรอบถูกกำหนดให้ได้รับการปกป้องจากการโจมตีของฝ่ายบาชาร์ อัล-อัสซาด ภายใต้ข้อตกลงที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนปี 2018 ระหว่างรัสเซีย และตุรกี
แม้มีข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้น แต่ในแนวเขตกันชนข้อตกลงนี้ไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเต็มที่ และความรุนแรงยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในจังหวัดนี้อีกด้วย
สงครามซีเรียคร่าชีวิตพลเรือนไปแล้วหลายแสนคน และทำให้มีผู้พลัดถิ่นหลายล้านคนนับตั้งแต่มันเริ่มต้นในปี 2011 ด้วยการปราบรามกาประท้วงอ่างรุนแรงของกองกำลังติดอาวุธในระบอบบาชาร์ อัล-อัสซาด โดยที่มีกองกำลังติดอาวุธชีอะห์จากอิหร่าน และทหารรับจ้างรัสเซียหนุนหลัง