บุกแคมป์โรฮิงญา เจอศพ-คนป่วย-หลุมศพ 32 ศพ

เจ้าหน้าที่พบศพชาวโรฮิงญา กว่า 32 ศพ ในพื้นที่ หมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งมีทั้งที่นอนเสียชีวิตและถูกฝังอยู่ในหลุมประมาณ 50 หลุม โดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานกำลังอยู่ระหว่างการหาสาเหตุของการเสียชีวิต ที่เกิดเหตุเป็นลักษณะของการตั้งแคมป์ที่พักพิงชาวโรฮิงยาชั่วคราว
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง นำโดย พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา ตำรวจ สภ.สะเดา ทหารร้อย ร.5021 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจ.สงขลา ตำรวจกองปราบและฝ่ายปกครองอำเภอสะเดา เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 รวมทั้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยกว่า 100 นาย ทั้งในพื้นที่ อ.สะเดาและ อ.หาดใหญ่ ได้เข้าพื้นที่ตรวจสอบแคมป์ที่พักชาวโรฮิงญา ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาแก้ว บ้านตะโล๊ะ หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ห่างจากสันปันน้ำฝั่งรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซียประมาณ 300 เมตร ลักษณะยังเป็นป่าดิบมีการเปิดพื้นที่ตั้งแคมป์ชั่วคราวประมาณ 2 ไร่ มีสิ่งปลูกสร้าง 39 หลัง แยกเป็นโรงนอน 26 หลัง ที่เหลือเป็นโรงครัว ที่อาบน้ำ ห้องน้ำ รวมทั้งหอคอยสังเกตการณ์ ลักษณะเป็นแคมป์เก่าถูกสร้างมานาน บางหลังเหลือเพียงโครงไม้ ห่างจากแคมป์ออกไปประมาณ 50 เมตร พบว่าถูกแผ้วถางสำหรับใช้เป็นสุสานฝั่งศพ เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่แบบเดียวกับหลุมฝังศพของชาวมุสลิม มีการน้ำไม้และปลูกต้นไม้มาปักหัวท้ายหลุมฝังศพเพื่อเป็นเครื่องหมาย ซึ่งมีทั้งหลุมใหม่และเก่าประมาณ30 หลุม และยังพบคันหามศพที่สร้างแบบง่ายๆ โดยใช้กระสอบมาขึงกับไม้วางอยู่ด้วย
หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภายในแคมป์ยังพบศพผู้เสียชีวิตอยู่ภายในแคมป์ 1 รายเป็นชายทราบชื่อ นายคูตันซา และนอนล้มป่วยอยู่ในแคมป์ ซึ่งเป็นชายอีก 1 ราย เจ้าหน้าที่ได้ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลปาดังเบซาร์ ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบเก็บหลักฐาน ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องใช้ที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในแคมป์ เพื่อนำไปเป็นหลักฐานประกอบการสอบสวน
หลังเจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่บริเวณโดยรอบเสร็จทางที่กู้ภัยได้ทำการขุดหลุมศพจำนวน 5 หลุม แต่พบศพเพียง 4 ศพ ซึ่งลักษณะศพที่พบเสียชีวิตมาหลายวันเริ่มเน่า ส่วนหลุมศพมีทั้งขุดลึกลงไปตั้งแต่ความลึกระดับหัวเข่า 1 เมตร และ 2 เมตร และต้องยุติการขุดชั่วคราว เพราะเกรงว่าอาจจะทำลายหลักฐาน ต้องรอให้เจ้าหน้าที่นิติเวชน์เข้าตรวจสอบเอกลักษณ์บุคคลก่อน ส่วนศพทั้ง 4 ศพได้ส่งไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์เพื่อรอการพิสูจน์
พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบหลุมฝังศพจำนวน 30 หลุม แต่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามีศพอยู่กี่ศพ และต้องมีการขุดศพขึ้นมาตรวจพิสูจน์ถึงสาเหตุการตาย โดยได้ประสานไปยังฝ่ายนิติเวชน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่มาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เบื้องต้นคาดว่าสาเหตุการตายน่าจะมาจากอาการป่วยหรือสภาพร่างกายอ่อนแอ ระหว่างที่ถูกนำมาพักอยู่ที่แคมป์เพื่อรอการส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 เนื่องจากลักษณ์เป็นแคมป์เก่า ห่างจากฝั่งรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย เพียง 300 เมตร และเป็นเพียงแคมป์เดียวในบริเวณนี้ หลังจากที่ทหารออกลาดตระเวน ก็ไม่พบชาวโรงฮิงยาเพิ่มเติม เป็นการนำมาพักไว้ชั่วคราวก่อนส่งไปยังประเทศที่ 3 ส่วนในทางคดีเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนในรายละเอียดที่มาของชาวโรฮิงญากลุ่มนี้ รวมทั้งกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้ามา
ด้าน พล.ต.ต.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 เปิดเผยว่า จากการสอบสวนในเชิงลึกของขบวนการนำชาวโรฮิงยาเข้า ในจังหวัดสงขลามีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ แต่เป็นลักษณะของการนำเข้ามาและกักไว้ชั่วคราว เพื่อรอส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งเจ้าหน้าที่มีข้อมูลอยู่แล้ว โดยแคมป์ที่พบเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเป็นของกลุ่มใด

ด้านพ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยว่า ตามที่ จนท. ทหารจากกองกำลังเทพสตรี, ตชด., ตำรวจ สภ.ปาดังเบซาร์, ชุดสืบภาค 9, ชุดพิสูจน์หลักฐาน และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ได้ร่วมกันเดินทางขึ้นเขาที่ติดชายแดนไทย – มาเลเซีย ตรวจพบที่พักชั่วคราว ประมาณ 26 หลัง และหลุมคล้ายหลุมฝังศพ (ปักไม้เรียงกัน) จำนวน 30 กว่าหลุม บริเวณภูเขาลูกช้างบ้านตะโละ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ฝั่งตรงข้าม บ.ปาดังเบซาร์ อ.เมืองกางาร์ รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงญา และอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มลักลอบนำพาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในพื้นที่

โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กล่าวว่า ในเรื่องดังกล่าว พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กห. และ ผบ.ทบ. ในฐานะ รอง ผอ.รมน. และ ลธ.คสช. ได้รับทราบรายงานตั้งแต่ต้น และสั่งการให้ กกล. เทพสตรี (โดย ฉก.ร.5) บูรณาการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งคลี่คลายเหตุการณ์ตามรูปคดี โดยอาศัยหลักฐานตามผลนิติเวช และการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลเป็นหลัก พร้อมกันนี้ ได้แสดงความห่วงใยการดูแลผู้หลบหนีเข้าเมืองตามหลักมนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน และได้กำชับด่านตรวจต่างๆ ให้เข้มงวดจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบนำพาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายต่อไป

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น