การทดสอบขีปนาวุธของอิหร่าน เมื่อเดือนมีนาคม ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของข้อตกลงนิวเคลียร์ที่บรรลุกับชาติมหาอำนาจ บัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม บัน ยกให้เป็นอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงในการกำหนดว่า ควรมีการตอบสนองด้วยวิธีใด ตามรายงานลับที่เอเอฟพีเผยเมื่อวันศุกร์ (8 กรกฎาคม)
ภายใต้ข้อตกลงนี้ อิหร่านยอมที่จะควบคุมโครงการนิวเคลียร์ของตน เพื่อแลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตร และเปิดความสัมพันธ์ทางการค้าในทุกๆ ด้านกับอิหร่าน แต่อิหร่านกลับยังคงมีการทดลองขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ทั้งที่ขัดต่อข้อตกลงดังกล่าวโดยที่มหาอำนาจไม่ได้มีมาตรการลงโทษใดๆ นอกจากสหรัฐที่มีการลงโทษจากจำกัดต่อบุคคลเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว ขณะที่สหรัฐก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ในการซื้อน้ำมวลหนักที่เป็นผลผลิตจากโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
“แม้ว่ามันจะเป็นหน้าที่ของคณะมนตรีความมั่นคงในการตีความมติของพวกเขาเอง แต่ผมเป็นกังวลว่า การยิงขีปนาวุธเหล่านั้น จะไม่ได้สอดคล้องกับเจตนารมณ์อันดีที่ถูกแสดงให้เห็นด้วยการลงนาม” ข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับนี้ ส่วนหนึ่งของรายงาน 16 หน้าของบันลงวันที่ 1 กรกฎาคม ระบุ
“ผมเป็นกังวลกับการยิงขีปนาวุธของอิหร่านเมื่อเดือนมีนาคมปี 2016”
“ผมเรียกร้องให้อิหร่านงดเว้นจากการยิงขีปนาวุธเช่นนี้ เนื่องจากมันอาจเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค” บัน เขียน
นี่เป็นรายงานฉบับแรกที่เกี่ยวข้องกับการใช้มติที่ 2231 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วย เงื่อนไขต่าง ๆ ของข้อตกลงนิวเคลียร์เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2015
มตินี้ระบุว่า อิหร่าน “ถูกเรียกร้องให้งดการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับขีปนาวุธที่ถูกออกแบบให้สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ได้ รวมถึงการยิงที่ใช้เทคโนโลยีขีปนาวุธลักษณะนี้”
คณะมนตรีความมั่นคงจะตรวจสอบรายงานดังกล่าวในวันที่ 18 กรกฎาคม แต่แหล่งข่าวทางการทูตคาดว่า คงไม่มีการตัดสินใจหรือแม้กระทั่งการแสดงจุดยืนร่วมกันของ 15 ชาติในคณะมนตรีชุดนี้
“รายงานดังกล่าวไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ ต่อคณะมนตรีความมั่นคง” ทูตคณะมนตรีรายหนึ่งบอกกับเอเอฟพี
“การมีรายงานจากเลขาธิการใหญ่เป็นประโยชน์อย่างมาก แต่มันขึ้นอยู่กับเราที่จะตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้” ทูตรายนี้กล่าว
เมื่อปลายเดือนมีนาคม สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ และ เยอรมนี ระบุว่า พวกเขาเชื่อว่า การยิงขีปนาวุธของอิหร่านขัดต่อมติของยูเอ็น และเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงจัดการกับเรื่องนี้
ทั้งนี้ข้อเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีการลงโทษต่ออิหร่านของชาติมหาอำนาจมีขึ้นทั้งที่ สหรัฐ, ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็น 3 ใน 5 ของคณะมนตรีความมั่นคง และต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอิหร่านในปัจจุบัน ขณะที่ จีน และรัสเซีย ซึ่งเป็นอีก 2 ชาติในคณะมนตรีความมั่นคง เป็นพันธมิตรที่เหนี่ยวแน่น และเป็นคู่ค้าสำคัญของอิหร่านเช่นกัน