สหรัฐฯ ออกมายอมรับว่าคงจะเข้าผิดในการโจมตีที่มั่นของกองกำลังซีเรียเมื่อวันเสาร์ (17 กันยายน) ที่ผ่านมา ขณะที่รัสเซียเรียกร้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเปิดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือถึงเหตุถล่มทางอากาศ 4 เที่ยวคราวนี้ ซึ่งทำให้กองกำลังของระบอบบาชาร์ อัล-อัสซาด เสียชีวิตไปอย่างน้อย 62 ราย
การโจมตีคราวนี้ยังบังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯที่กำลังไต่ระดับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ภายในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ที่ทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นคนกลาง ประกาศให้ฝ่ายของบาชาร์กับฝ่ายต่อต้านซีเรียที่มิใช่พวก ISIL หยุดยิงกัน ในความพยายามที่จะยุติสงครามนองเลือดที่ดำเนินมา 5 ปีในประเทศแห่งนี้
พวกเจ้าหน้าที่อเมริกันแถลงว่า กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งกำลังทำการสู้รบอยู่กับกลุ่ม ISIL อาจจะได้ทำการโจมตีที่มั่นทางทหารของฝ่ายรัฐบาลซีเรียไปหลายแห่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย
“กองกำลังอาวุธของกลุ่มพันธมิตรเชื่อว่าพวกเขากำลังโจมตีที่มั่นสู้รบของพวกดาอิชแห่งหนึ่ง” คำแถลงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุ
“การโจมตีทางอากาศของกลุ่มพันธมิตรถูกสั่งระงับไปในทันที เมื่อทางเจ้าหน้าที่ของกลุ่มพันธมิตรได้รับแจ้งจากทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัสเซียว่า มีความเป็นไปได้ที่บุคลากรและยานพาหนะซึ่งตกเป็นเป้าหมายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกองทหารซีเรีย” คำแถลงบอก
ทางด้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้เปิดการประชุมเป็นการภายในเมื่อคืนวันเสาร์ (17) หลังจากรัสเซียเรียกร้องให้หารือเป็นวาระฉุกเฉินเพื่ออภิปรายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับกล่าวหาว่าสหรัฐฯ กำลังทำให้ข้อตกลงหยุดยิงซีเรียตกอยู่ในอันตราย
ขณะที่ ซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาติ กล่าวตำหนิรัสเซียอย่างรุนแรงสำหรับความเคลื่อนไหวเช่นนี้
เธอบอกว่า รัสเซียควรต้องยุติการใช้วิธีทำคะแนนราคาถูกๆ, การแสดงผาดโผนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการวางตัวสูงส่งทางศีลธรรม และการเรียกร้องให้มีผู้ชมมายืนโห่ร้องแสดงความชื่นชมเช่นนี้ แล้วหันมาโฟกัสในสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระจริงๆ ซึ่งก็คือการปฏิบัติตามสิ่งที่สหรัฐฯ กับรัสเซียได้เจรจาตกลงกันไว้
พาวเวอร์กล่าวว่า สหรัฐฯ กำลังสอบสวนเรื่องการโจมตีทางอากาศนี้อยู่ และ “ถ้าเราวินิจฉัยออกมาว่าเราได้ทำการโจมตีบุคลากรทางทหารของซีเรียจริงๆ นั่นก็ไม่ได้เป็นความตั้งใจของเราเลย และแน่นอนทีเดียวว่าเรามีความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้น”
เมื่อถูกถามว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ข้อตกลงหยุดยิงซีเรียซึ่งมอสโกกับวอชิงตันเป็นคนกลางคราวนี้มีอันต้องล้มครืนลงหรือไม่ วิตาลี ชูร์คิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำยูเอ็นตอบว่า “นี่เป็นเครื่องหมายคำถามอันใหญ่มาก”
“ผมมีความสนใจมากที่จะเฝ้าดูว่าวอชิงตันกำลังจะแสดงปฏิกิริยาออกมาอย่างไร แต่ถ้าสิ่งที่เอกอัครราชทูตพาวเวอร์กระทำในวันนี้คือสิ่งบ่งชี้ใดๆ ถึงปฏิกิริยาที่เป็นไปได้ของพวกเขาแล้ว ถ้าเช่นนี้เราก็กำลังตกอยู่ในความลำบากอย่างร้ายแรง” ชูร์คินกล่าวกับผู้สื่อข่าว
มอสโกได้หยิบยกการโจมตีคราวนี้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้พวกนักรบดาอิชสามารถบุกเข้ายึดที่มั่นของกองทัพซีเรียแห่งหนึ่งใกล้ๆ สนามบินเมืองเดอีร์ เอซซอร์ เอาไว้เป็นเวลาสั้นๆ ว่าคือหลักฐานซึ่งแสดงว่าสหรัฐฯ กำลังช่วยเหลือกลุ่มนักรบกลุ่มนี้
“เรากำลังบรรลุถึงข้อสรุปอันน่าสยดสยองอย่างแท้จริงสำหรับทั่วทั้งโลก นั่นคือ ทำเนียบขาวกำลังพิทักษ์ปกป้องพวกดาอิช เวลานี้มันไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้” สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสตี อ้างคำพูดของ มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย
พาวเวอร์ได้ตอบโต้โดยกล่าวว่า ซาคาโรวาควรรู้สึกละอายใจที่กล่าวอ้างเช่นนี้ออกมา ขณะที่ชูร์คินบอกว่า รัสเซียไม่ได้มี “หลักฐานอันเจาะจง” ว่าสหรัฐฯ กำลังสมคบร่วมมือกับพวกนักรบดาอิช
ซาคาโรวาพูดด้วยว่า เหตุโจมตีคราวนี้เป็นการคุกคามบ่อนทำลายข้อตกลงหยุดยิงในซีเรียซึ่งมีรัสเซียกับสหรัฐฯ เป็นคนกลาง โดยที่มอสโกนั้นกำลังช่วยเหลือรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ในสงครามกลางเมืองคราวนี้ ส่วนวอชิงตันให้การหนุนหลังกลุ่มฝ่ายต่อต้านบางกลุ่ม
ในส่วนของกองทัพรัสเซียได้ออกคำแถลงระบุว่า มีเครื่องบินรบหลายลำจากกลุ่มพันธมิตรนานาชาติต่อต้านนักรบญิฮาด ได้เข้าทำการโจมตีทางอากาศ 4 ระลอกในวันเสาร์ (17) ต่อกองกำลังอาวุธของซีเรียซึ่งถูกพวกดาอิชล้อมไว้ในสนามบินเดอีร์ เอซซอร์
“ทหารซีเรีย 62 นายถูกสังหาร และอีก 100 นายได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเหล่านี้”
ฝ่ายทหารรัสเซียบอกว่า เครื่องบินไอพ่นเอฟ16 จำนวน 2 ลำ และ เอ10 อีก 2 ลำ ซึ่งบินจากอิรักเข้ามาในน่านฟ้าของซีเรีย คือผู้ทำการโจมตีครั้งนี้ซึ่งเกิดขึ้นในเวลา 14.00 น.ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (ตรงกับ 21.00 น.เวลาเมืองไทย)
“ไม่นานถัดจากการโจมตีของกลุ่มพันธมิตร พวกนักรบดาอิชก็เปิดการรุก” คำแถลงนี้ระบุ พร้อมกับบอกว่า ได้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือดกับพวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
“ถ้าการโจมตีเหล่านี้มีสาเหตุจากความผิดพลาดในการประสานงานเกี่ยวกับเป้าหมายแล้ว มันก็คือผลพวงโดยตรงของการที่สหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ยอมร่วมมือประสานงานกับฝ่ายรัสเซีย เกี่ยวกับการสู้รบของตนในการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ในซีเรีย” คำแถลงระบุ
ทางด้านกลุ่มสังเกตการณ์ชาวซีเรียเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกมาให้ตัวเลขว่ามีทหารบาชาร์ถูกสังหารไปอย่างน้อย 90 นาย พร้อมกับยืนยันว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นมาเป็นฝีมือของสหรัฐฯ
ขณะที่สำนักข่าวอามัก ซึ่งมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับดาอิช รายงานว่า กองกำลังพันธมิตรได้โจมตีใส่ที่มั่นต่างๆ ของกลุ่ม ทว่าไอเอสยังคงสามารถ “บุกยึดควบคุมที่มั่นจาบัล เทอร์เดห์ เอาไว้ได้ทั้งหมด โดยที่มั่นนี้อยู่บนที่สูงซึ่งสามารถมองเห็นสนามบินเดอีร์ อัซซอร์ที่อยู่ด้านล่าง”
กองทัพซีเรียนั้นกำลังสู้รบเพื่อต้านทานดาอิชที่เปิดการรุกอย่างดุเดือดเข้าใส่ฐานทัพอากาศเดอีร์ อัซซอร์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยที่สนามบินแห่งนี้และพื้นที่อีกบางย่านในเมือง คือที่มั่นที่เหลืออยู่ซึ่งกองกำลังจากภายนอกยังสามารถเข้าไปถึงได้ ขณะที่พื้นที่รอบๆ ตกอยู่ในความควบคุมของดาอิชแล้ว
อย่างไรก็ตาม สื่อทางการของรัสเซียและของซีเรียรายงานว่า ในเวลาต่อมากองทัพซีเรียสามารถยึดที่มั่นต่างๆ ซึ่งสูญเสียไปกลับคืนมาได้แล้ว
ส่วนกลุ่มผู้สังเกตการณ์ชาวซีเรียฯ รายงานด้วยว่า มีสมาชิกดาอิช 38 คนถูกสังหารและอีกหลายสิบคนได้รับบาดเจ็บ จากการที่รัสเซียระดมโจมตีอย่างหนักใส่ที่มั่นจาบัล เทอร์เดห์ ในระหว่างทำการสู้รบกัน
โดยก่อนหน้าเจ้าหน้าที่ทหารรัสเซียก็ได้ออกมาประณามทั้งสหรัฐฯ และกลุ่มกบฏกระแสหลักด้วยถ้อยคำภาษาที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่มอสโกกับวอชิงตันทำข้อตกลงหยุดยิงที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันจันทร์ (12) ที่ผ่านมา “สถานการณ์ในซีเรียกำลังเลวร้ายลงทุกที” วลาดีมีร์ ซาฟเชนโค นายพลชาวรัสเซีย กล่าวในการแถลงสรุปถ่ายทอดทางโทรทัศน์เมื่อวันเสาร์ (17)
“ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจำนวนของเหตุโจมตีเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย(119)” โดยที่มีการเข้าโจมตีที่มั่นต่างๆ ของรัฐบาลและการเข้าโจมตีพลเรือนรวม 55 ครั้ง พลเรือนถูกสังหารไป 12 ราย เขาบอก
ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียก็ออกคำแถลงกล่าวหาว่า “กลุ่มกบฏที่เป็นพวกแนวคิดกลางๆ(FSA)” กำลังทำให้ข้อตกลงหยุดยิงล้มครืนลงมา
ตามข้อตกลงที่สหรัฐฯ กับรัสเซียเป็นคนกลางฉบับนี้ระบุว่า ถ้าสามารถรักษาให้การหยุดยิงยืนยาวไปได้ 7 วัน และมีการอนุญาตให้จัดส่งสิ่งของเพื่อมนุษยธรรมไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งพลเรือนจำนวนมากกำลังทุกข์ยากเดือดร้อนหนักจากการปิดล้อมของกองกำลังบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่มีรัสเซียหนุนหลัง นอกจากนี้ข้อตกลงดังกล่าวยังระบุให้สหรัฐ และรัสเซีย ต้องร่วมมือกันในการปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย แต่ทั้งคู่ยังคงมีปัญหาในการกำหนดว่ากลุ่มใดคือกลุ่มก่อการร้าย
“ถ้าฝ่ายอเมริกันไม่ได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อกระทำตามพันธะผูกพันของตนแล้ว … ความรับผิดชอบจากการทำให้ข้อตกลงหยุดยิงล้มพับไปจะต้องเป็นของสหรัฐฯ” วิกตอร์ ปอซนิคีร์ นายพลทหารบกรัสเซียระบุในการแถลงข่าว
ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของอัสซาดผู้นำจอมกระหายเลือดแห่งซีเรีย ก็ออกมากล่าวก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (17) เช่นกันว่า เขายังคง “มองแง่บวก” เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง แต่ก็กล่าวหาพวกกบฏว่า กำลังพยายามที่จะรวมกำลังกันขึ้นมาใหม่
ปูตินบอกว่า วอชิงตันดูเหมือนมีความปรารถนาที่จะรักษา “ศักยภาพความสามารถในการสู้รบกับรัฐบาลที่ถูกกฎหมายของประธานาธิบดีอัสซาดเอาไว้ต่อไป” ซึ่งถือว่าเป็น “หนทางที่มีอันตรายอย่างยิ่ง”
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งของข้อตกลงหยุดยิงคราวนี้ คือการส่งสิ่งของช่วยเหลือไปยังพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งที่เมืองอะเลปโป ซึ่งประมาณการกันว่ามีประชาชนราว 250,000 คนอาศัยอยู่ในหลายๆ เขตซึ่งถูกกองกำลังของบาชาร์ อัล-อัสซาดปิดล้อมไว้
ทว่าเมื่อวันเสาร์ (17) ขบวนรถบรรทุก 40 คันที่บรรทุกความช่วยเหลือด้านอาหาร ยังคงติดแหง็กอยู่ตรงพรมแดนระหว่างตุรกีกับซีเรีย ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ตามที่รัสเซียให้คำมั่นไว้
ขณะที่ท่าทีของรัสเซียต่อข้กตกลงหยุดยิงมีความแข็งขืนขึ้นหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านเดินทางเยือนรัสเซียเป็นเวลา 3 วันในการหารือประเด็นซีเรียกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย รวมทั้งคณะทำงานของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน โดยอิหร่านออกมาแถลงว่าพร้อมสนับสนุนแนวทางของรัสเซียต่อประเด็นซีเรีย