ทางการอินโดนีเซียแถลงวันอังคาร(8 สิงหาคม)ว่า ในโอกาสที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก ลาฟรอฟ จะเดินทางมาเยือนอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองได้มีข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจของรัสเซีย โดยยินยอมให้อินโดนีเซียใช้สินค้าที่หาได้ในประเทศทั้งน้ำมันปาล์ม และกาแฟ แลกเปลี่ยนกับเครื่องบินรบขับไล่รุ่นใหม่ของรัสเซียถึง 11 ลำ
โฆษกกระทรวงพาณิชย์อินโดนีเซียกล่าวผ่านแถลงการณ์วันอังคาร(8 สิงหาคม)ว่า อินโดนีเซียและรัสเซียได้ร่วมลงนาม MOU กรอบข้อตกลงความเข้าใจการแลกเปลี่ยนเครื่องบินขับไล่รุนใหม่ของ ซุคฮอย(Sukhoi) จำนวน 11 ลำกับสินค้าคอมโมดิตีพื้นฐานหลักของอินโดนีเซีย เกิดขึ้นกลางกรุงมอสโกสัปดาห์ที่ผ่านมา
มาโรลอพ เนงโกลัน(Marolop Nainggolan) ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า “แนวความคิดนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และมีบางคนได้เสนอว่า ทางอินโดนีเซียสมควรที่จะแลกเปลี่ยนเครื่องบินรบขับไล่รัสเซียกับสินค้าคอมโมดิตีพื้นฐานหลักของทางเรา”
ทั้งนี้ที่ผ่านมาสหรัฐฯและสหภาพยุโรปได้ทำการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างหนัก ลงโทษการที่เครมลินเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งภายในสหรัฐฯ และปัญหาการยึดครองดินแดนของยูเครน
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีพาณิชย์อินโดนีเซีย เองการ์ตียัซโต ลูกีตา( Enggartiasto Lukita) กล่าวว่า “การที่รัสเซียที่ถูกบีบจากการคว่ำบาตร จำเป็นต้องหาตลาดใหม่ นั้นอาจถือได้ว่าเป็นข่าวดีของทางอินโดนีเซีย”
ซึ่งในระหว่างการเยือนกรุงมอสโกในสัปดาห์ที่แล้ว ลูกีตาให้ความเห็นว่า “เป็นโอกาสดีที่ทางเราไม่สมควรให้หลุดไปง่ายๆ”
ทั้งนี้รัฐมนตรีพาณิชย์อินโดนีเซียให้ความเห็นต่อว่า ข้อตกลงการแลกเปลี่ยนนี้เกิดขึ้นระหว่างบริษัทรอสเทค(Rostec) ของรัสเซียและบริษัทพีที เปรูซาฮาน เปอร์ดากันกัน อินโดนีเซีย(PT Perusahaan Perdagangan Indonesia) อาจเป็นจุดเริ่มต่อข้อตกลงการค้าระดับทวิภาคีอื่นๆที่นำไปสู่ด้านพลังงานและทางอากาศในอนาคต
ขณะที่ AFP รายงานว่า กรอบระยะเวลาและมูลค่าของการแลกเปลี่ยนยังไม่ชัดเจนในขณะนี้
แต่ RT ของรัสเซียรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากรอยเตอร์ ในการเปิดเผยของลูกีตาเมื่อวันจันทร์(7)ว่า เครื่องบินขับไล่ที่ทางรัสเซียจะใช้ในการแลกเปลี่ยนคือ เครื่องบินรบขับไล่ซุคฮอย ซู 35( Sukhoi Su-35 ) 11 ลำ และในส่วนของอินโดนีเซียจะใช้สินค้าของตนตั้งแต่กาแฟไปจนถึงผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม และยุทธภัณฑ์ทางยุทธวิธีต่างๆ
ซึ่งทางบริษัทรัสเซียขอใช้สิทธิ์ที่จะเลือกสินค้า ที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนจากทางอินโดนีเซีย และรวมไปถึงสิทธิที่จะเลือกคู่ค้าและผู้ผลิตสำหรับความร่วมมือภายใต้ข้อตกลงนี้ ตามการเปิดเผยของบริษัทรอสเทค
โดยในแถลงการณ์ของรอสเทคกล่าวว่า “ข้อตกลงนี้อนุญาตให้ทางเราสามารถเลือกสินค้าของทางอินโดนีเซียที่จะมีความเหมาะสมกับตลาดรัสเซีย ซึ่งการหารือถึงกลุ่มสินค้าที่เข้าข่ายนี้จะอยู่ในที่ประชุมของคณะกรรมการที่ปรึกษาพิเศษที่จะถูกตั้งขึ้นในภายหลัง”
ทั้งนี้ข้อมูลการเปิดเผยถึงการใช้น้ำมันปาล์มและกาแฟแลกกับเครื่องบินรบรัสเซียเกิดขึ้นหลังจากที่ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียได้เปิดฉากเยือนประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลา 2 วัน
RT ชี้ว่าอินโดนีเซียมีประสบการณ์กับเครื่องบินขับไล่สัญชาติรัสเซียมาแล้ว หลังจากที่ได้ซื้อเครื่องบินรบซุคฮอย 16 ลำเมื่อปี 2003 ในช่วงระหว่างถูกปิดล้อมทางการค้าโดยสหรัฐฯและสหภาพยุโรปด้านการค้าอาวุธ และข้อหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในติมอร์ตะวันออกปี 1999
และที่ผ่านมาอินโดนีเซียพยายามที่จะหาตลาดใหม่เพื่อขายน้ำมันปาล์ม ซึ่งอินโดนีเซียเป็นผู้นำระดับโลกอันดับ 1 ในการผลิต หลังจากที่เกิดการหดตัวในตลาดยุโรป โดยมีการนำผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มมาใช้อย่างกว้างขวางในด้านการปรุงอาหาร เครื่องสำอางค์ และพลังงานไบโอดีเซล เป็นต้น