นักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพที่ถูกตั้งข้อหาอาชญากรรมจากความเกลียดชังหลังจากถือป้ายเสียดสีที่วาดภาพอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ริชี ซูแนก และ Suella Braverman (ซูเอลลา บราเวอร์แมน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นลูกมะพร้าว ล่าสุดศาลชี้ไม่ผิด
Marieha Hussain ครูวัย 37 ปี ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวในศาล โดยฝ่ายจำเลยให้การว่าป้ายที่เธอถือระหว่างการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์เมื่อเดือนพฤศจิกายนเป็นป้ายเสียดสี และตลกขบขัน ไม่ใช่ป้ายเหยียดเชื้อชาติ
โจนาธาน ไบรอัน อัยการ โต้แย้งว่าป้ายดังกล่าวบ่งบอกว่าคนผิวสีภายนอกคล้ำแต่ภายในเป็นสีขาว “พูดอีกอย่างก็คือ คุณเป็นคนทรยศต่อเชื้อชาติ คุณเป็นคนผิวสีหรือผิวดำน้อยกว่าที่ควรจะเป็น” เขากล่าว
ฝ่ายจำเลยอธิบายว่าการตัดสินใจฟ้องศาลเป็นการโจมตีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการประท้วงอย่างสันติอย่างน่าวิตก
ทนายความของเธอ Rajiv Menon KC กล่าวว่า “การที่ Marieha Hussain ถูกดำเนินคดีในข้อหาเหยียดเชื้อชาติ ในขณะที่คนอย่าง Suella Braverman, Nigel Farage, Stephen Yaxley-Lennon หรือที่รู้จักในชื่อ Tommy Robinson และ Frank Hester ดูเหมือนจะสามารถออกแถลงการณ์ที่ปลุกปั่นและสร้างความแตกแยกได้อย่างอิสระ … ฉันเกรงว่าหลายคนคงจะไม่เข้าใจ”
ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เคยเรียกการประท้วงที่สนับสนุนปาเลสไตน์ว่าเป็น “การเดินขบวนแห่งความเกลียดชัง” และเพื่อนสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมก็ได้เตือนว่าความคิดเห็นของเธอเกี่ยวกับเรือผู้อพยพและแก๊งที่ล่อลวงผู้อื่นนั้น “ทำให้พวกเหยียดเชื้อชาติกล้าขึ้น”
หลังจากการพิจารณาคดีเป็นเวลา 2 วัน ผู้พิพากษาได้ตัดสินว่าป้ายดังกล่าวเป็น “ส่วนหนึ่งของแนวเสียดสีการเมือง”
Cage International แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “การเผชิญหน้าอันเลวร้ายที่ครูสาวต้องเผชิญ แสดงให้เห็นถึงวิธีการชั่วร้ายที่รัฐบาลอังกฤษใช้เพื่อปิดปาก และข่มขู่เสรีภาพในการพูดของพลเมือง เพื่อปกป้องสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาติอื่น Marieha ต้องทนทุกข์กับการคุกคามเป็นเวลานานหลายเดือน รวมถึงการสัมภาษณ์เชิงดูหมิ่นของตำรวจ การคุกคามของตำรวจในตอนดึก และการใส่ร้ายป้ายสีในสื่อ ซึ่งทำให้เธอต้องสูญเสียงานและต้องย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ปลอดภัยชั่วคราว”
“แม้ว่านี่จะเป็นผลลัพธ์เชิงบวก แต่กรณีของ Marieha ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจที่ชัดเจนถึงความอยุติธรรมที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายคนต้องเผชิญในการออกมาต่อต้านการสมรู้ร่วมคิดของสหราชอาณาจักรในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา”