ASTV รายงานว่า“โอบามา” เรียกร้องผู้นำตะวันตกและมุสลิมรวมพลังล้มล้าง “คำสัญญาลวงของกลุ่มหัวรุนแรง” อ้างอเมริกาทำสงครามกับนักรบญิฮัดที่แอบอ้างศาสนาอิสลาม ไม่ได้ทำสงครามกับศาสนาอิสลาม ขณะที่ “รัฐมนตรีต่างประเทศเคร์รี” เตรียมหารือกับรัฐมนตรีจากประเทศต่างๆ เพื่อร่างแผนปฏิบัติการถอนรากถอนโคนกลุ่มก่อการร้าย
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศเมื่อวันพุธ (18) ต่อตัวแทนจาก 60 ชาติที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดว่าด้วยการต่อต้านลัทธิหัวรุนแรงที่ทำเนียบขาวจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วันว่า ผู้ก่อการร้ายไม่ได้เป็นตัวแทนของชาวมุสลิมหลายพันล้านคน
“คนพวกนั้นพยายามวาดภาพตัวเองเป็นผู้นำศาสนา นักรบในสงครามศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่จริงๆ เป็นแค่ผู้ก่อการร้าย” ประมุขทำเนียบขาวสำทับว่า ยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มก่อการร้าย เช่น กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) และอัล-กออิดะห์ ชักชวนผู้คนเข้าร่วมและปลูกฝังลัทธิหัวรุนแรง
โอบามาแจงว่า สิ่งที่ต้องจัดการรับมือคือ อุดมคติและโครงสร้างพื้นฐานของพวกหัวรุนแรง นักโฆษณาชวนเชื่อ ผู้กว้านหาสมาชิกใหม่ และผู้สนับสนุนเงินทุน
ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลสายกลางในประเทศต่างๆ ลบล้างการป่าวประกาศของนักรบญิฮัดที่กล่าวถึงการปะทะทางอารยธรรมระหว่างตะวันตกที่ต่อต้านชาวมุสลิม กับตะวันออกกลางที่ฝักใฝ่ลัทธิหัวรุนแรง (แนวคิดเรื่องการปะทะทางอารยธรรมเป็นแนวคิดจากนักคิดของตะวันตก)
โอบามายังกล่าวว่า การเชื่อมโยงไอเอสหรืออัล-กออิดะห์กับศาสนาอิสลาม จะเข้าทางการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านั้น ซึ่งถือเป็นการตอบโต้เสียงวิจารณ์ภายในประเทศก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาไม่ยอมระบุว่า เหตุโจมตีในเดนมาร์ก ฝรั่งเศส ลิเบีย และซีเรียเป็นฝีมือของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง
พร้อมกันนี้ ยังประกาศว่า อเมริกาไม่ได้กำลังทำสงครามกับศาสนาอิสลาม แต่กำลังทำสงครามกับคนที่แอบอ้างใช้ประโยชน์จากศาสนาอิสลาม
ผู้นำสหรัฐฯ เสริมว่า ชุมชนในอเมริกาและประเทศต่างๆ ต้องร่วมกันรับผิดชอบ พร้อมย้ำว่า อัล-กออิดะห์และไอเอสพุ่งเป้าโฆษณาชวนเชื่อเพื่อการเข้าถึงและล้างสมองเยาวชนมุสลิมผ่านวิดีโอคุณภาพสูง นิตยสารออนไลน์ การใช้สื่อสังคม บัญชีทวิตเตอร์ ฯลฯ
ในการประชุมเมื่อวันพุธ มีการเน้นย้ำโปรแกรมต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรงที่มีอยู่ในหลายเมืองของสหรัฐฯ เช่นบอสตัน มินิอาโปลิส-เซนต์ปอล และลอสแองเจลีส ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยและเทคนิคอื่นๆ ในชุมชน โดยกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันได้ประกาศแต่งตั้งผู้ประสานงานการสื่อสารเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย ทว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า การดำเนินการนี้จะส่งผลเป็นรูปธรรมอย่างไร
สำหรับในวันพฤหัสบดี (19) นั้น จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรีเพื่อร่างแผนปฏิบัติการ “เพื่อคนรุ่นต่อไป”
เคร์รีโต้แย้งแนวคิดที่ว่า นักรบต่างชาตินับพันนับหมื่นที่หลั่งไหลเข้าสู่สนามรบในซีเรีย, อิรัก, อัฟกานิสถาน มีแรงจูงใจทางศาสนา เขาบอกว่า กลุ่มก่อการร้ายอย่างไอเอสนั้นต้องการลากโลกกลับสู่ยุคมืด ด้วยการพยายามทำลายแหล่งความรู้ของผู้คน เช่น หนังสือและห้องเรียน
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า ความท้าทายขณะนี้คือ การร่วมมือกันระหว่างนานาชาติแบบที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อรวบรวมพันธมิตร การวางแผน และระดับความมุ่งมั่นทางการเมืองที่เหมาะสมในระยะเวลาอันยาวนานภายใต้เป้าหมายในการเอาชนะลัทธิหัวรุนแรง
การประชุมสุดยอดคราวนี้มีขึ้นขณะที่อเมริกาและยุโรปกำลังกังวลกับการที่กลุ่มหัวรุนแรงเข้าไปแสดงบทบาทในลิเบียและแอฟริกาตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการที่พลเมืองชาติตะวันตกจำนวนมากไปร่วมรบกับไอเอส อีกทั้งยังมีขึ้นขณะที่สถานการณ์ทุกด้านของสองฟากฝั่งแอตแลนติกตึงเครียดอย่างหนัก ตัวอย่างเช่น แคนาดาที่มีทหาร 2 คนต้องสังเวยชีวิตจากการโจมตีของ “หมาป่าโดดเดี่ยว” สองครั้งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่ยุโรปเพิ่มมาตรการเตือนภัยระดับสูงสุดนับแต่เกิดเหตุสังหารหมู่กองบรรณาธิการนิตยสารแนวเสียดสี “ชาร์ลี เอ็บโด” ในปารีสเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ตามด้วยการโจมตีในกรุงโคเปนเฮเกนช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากกล่าวในที่ประชุมแล้ว โอบามายังเขียนลงในบทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลีสไทมส์ว่า กลุ่มก่อการร้ายอย่างอัล-กออิดะห์และไอเอสใช้ประโยชน์จากความโกรธแค้นของผู้คนที่รู้สึกว่า ความอยุติธรรมและการคอร์รัปชันปิดโอกาสในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของตน
“โลกต้องเสนอสิ่งที่ดีขึ้นแก่เยาวชน ภาครัฐที่ไม่ยอมรับสิทธิมนุษยชนคือเครื่องมืออย่างดีของกลุ่มหัวรุนแรง”
และทั้งในซัมมิตและในบทความชิ้นนี้ โอบามายังกล่าวถึงการสังหารนักศึกษามุสลิม 3 คนในมลรัฐนอร์ทแคโรไลนาว่า แม้ยังไม่รู้เหตุจูงใจ แต่สิ่งที่รู้ในขณะนี้ก็คือ ชาวมุสลิมอเมริกันมากมายทั่วสหรัฐฯ กำลังกังวลและหวาดกลัว