Furat Bantan ล่ามชาวซาอุดีอาระเบียที่ทำงานในญี่ปุ่นมานานกว่า 13 ปี เขาบอกว่าเป้าหมายในชีวิตของเขานั้นเรียบง่าย ด้วยความหวังที่จะเป็นเป็นหนึ่งในนักแปลชาวอาหรับที่ดีที่สุดในภาษาญี่ปุ่นและในที่สุดก็กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกอาหรับกับญี่ปุ่น
ปัจจุบัน Bantan เป็นล่ามสำหรับสถานทูตเลบานอน ก่อนหน้านี้เคยทำงานให้กับสถาบันอิสลามอาหรับแห่งโตเกียว สถาบันซึ่งเป็นองค์กรในเครือของมหาวิทยาลัย Al-Imam Mohammad ibn Saud Islamic ในริยาดเป็นของขวัญที่มอบให้กับญี่ปุ่นจากรัฐบาลซาอุดิอาระเบียด้วยความหวังว่ามันจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและส่งเสริมความเข้าใจวัฒนธรรมอาหรับต่อชาวญี่ปุ่น
“ผมต้องการที่จะเข้าใจวัฒนธรรม และศาสนาของญี่ปุ่นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อที่ผมจะได้เข้าใจวิธีคิดของพวกเขาและสามารถถ่ายทอดคำสอนของอิสลามในแบบที่พวกเขาเข้าใจได้” Bantan บอกกับอาหรับนิวส์
ศาสนาอิสลามเป็นหนึ่งในศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกโดยศูนย์วิจัยพิวระบุจำนวนมุสลิมอยู่ที่ประมาณ 1.6 พันล้านคนทั่วโลก และศาสนาอิสลามยังเป็นหนึ่งในศาสนาที่มีอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดของโลก ศูนย์วิจัยพิวคาดการณ์ว่าจำนวนชาวมุสลิมจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.8 พันล้านในปี 2050
อย่างไรก็ตามชุมชนมุสลิมญี่ปุ่นมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับประชากรมุสลิมในหลายประเทศในเอเชียตะวันออก โดยข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุตัวเลขชาวมุสลิมในญี่ปุ่นไว้ที่ 100,000-185,000 คนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 126.8 ล้านคนดูเหมือนจะเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าร้อยละ 0.1 ของประชากรญี่ปุ่น
สิ่งที่ชาวมุสลิมในญี่ปุ่นขาดในจำนวนนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาทำด้วยจิตวิญญาณ แม้มีองค์กรจำนวนมากที่อุทิศตนเพื่อให้ความรู้ และบริการทางศาสนา สิ่งที่โดดเด่นยิ่งกว่าก็คือ Japan Islamic Trust, ศูนย์อิสลามแห่งญี่ปุ่น, และสมาคมฮาลาลแห่งนิปปอนเอเชีย
มีมัสยิดมากกว่า 200 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศมีทั้งมัสยิดขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อนเช่น Tokyo Camii ในย่านชิบูย่า ไปจนถึงห้องละหมาดเล็ก ๆ ในมหาวิทยาลัยและสถานที่ขนส่งสาธารณะ
มัสยิดหลักในญี่ปุ่น
● มัสยิดโกเบ, โกเบ
● Tokyo Camii, Tokyo
● มัสยิด Okachimachi กรุงโตเกียว
● มัสยิดโอสึกะ, โตเกียว
● นาโกยามัสยิด, Nagoya
● มัสยิด Dar Al-Arqam, โตเกียว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีชาวอินโดนีเซียในญี่ปุ่นได้ทำการบริจาค และรวบรวมเงินทุนเพื่อสร้างมัสยิดเล็ก ๆ ในอาคารอพาร์ตเมนต์ และสำนักงานในพื้นที่ชนบทเพื่อประโยชน์ของชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่นอกเมืองใหญ่เพิ่มเติมด้วย
สถาบันอิสลามอิสลามแห่งโตเกียวที่ Bantan เคยทำงานในการจัดชั้นเรียนภาษาอาหรับฟรีให้กับชาวญี่ปุ่นที่สนใจเรียนภาษา ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมชั้นเรียนเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เขาบอกกับ Arab News และเสริมว่า “คนญี่ปุ่นมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอิสลามมากขึ้นในบรรยากาศทางการเมืองในปัจจุบัน”
Bantan กล่าวว่าเขาได้เห็นชาวญี่ปุ่นเข้ารับอิสลามเป็นอย่างมากหลังจากเรียนรู้ และคำแนะนำทางวัฒนธรรมขององค์กรอิสลามในท้องถิ่น “ในช่วงเวลาที่ผมอยู่กับสถาบันอิสลามอาหรับผมได้เห็นชาวญี่ปุ่นเข้ามากล่าวชะฮาดะห์ สัปดาห์ละ 2-3 คน” เขากล่าว
“ตอนนี้เรามีชาวญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญในศาสนาอิสลาม ทำให้การสื่อสารกับชาวญี่ปุ่นมีความเข้าใจยิ่งขึ้น”
เหตุผลที่ชาวมุสลิมในญี่ปุ่นมีจำนวนประชากรน้อยในวันนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิธีที่ศาสนาอิสลามมาถึงประเทศนี้ ประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลามของญี่ปุ่นนั้นแตกต่างอย่างมากจากประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกส่วนใหญ่โดยเฉพาะจีนซึ่งศาสนาอิสลามได้รับการถ่ายทอดมายาวนานกว่า 1,400 ปีอันเป็นผลมาจากความพยายามของบรรดาศ่อฮาบะห์ในการติดต่อค้าขายกับประเทศจีน และเผยแพร่ข้อความจากศาสนาอิสลามกับชาวจีน
Ibn Khordadbeh นักภูมิศาสตร์ชาวเปอร์เซียเชื่อกันว่าเป็นบุคคลแรกที่นำอิสลามมาสู่ญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 9 อย่างไรก็ตามประชากรมุสลิมได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการปฏิวัติบอลเชวิคเมื่อชาวมุสลิม Turko-Tatar หนีออกจากรัสเซียมาขอลี้ภัยอยู่ในญี่ปุ่น ต่อมาผู้ลี้ภัยเหล่านี้เข้ามาติดต่อกับประชากรในพื้นที่ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเลือกที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม
เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลามในญี่ปุ่นคือการแปลอัลกุรอานภาษาญี่ปุ่นในปี 2511 โดยอูมามิตะมุสลิมญี่ปุ่นที่มีชื่อเดิมคือ(Ryoichi Mita) ด้วยการตรวจทานของสันนิบาตรโลกมุสลิม ในนครมักกะห์ คัมภีร์กุรอ่านแปลญี่ปุ่นได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี 2515
ปัจจุบันญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่กว้างขวางกับโลกอิสลาม ปริมาณการค้าประจำปีระหว่างญี่ปุ่น และซาอุดิอาระเบียมีมูลค่าสูงถึง 26.67 พันล้านดอลลาร์ สำหรับซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่นเป็นปลายทางการส่งออกชั้นนำระดับโลก เป็นแหล่งเงินทุนต่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสอง และเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสาม
แต่วันนี้ชีวิตมุสลิมในญี่ปุ่นนั้นง่ายหรือยากแค่ไหน? ในฐานะผู้อพยพชาวซาอุดีอาระเบียที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเป็นเวลาเกือบ 12 ปี Abdulaziz Alforieh รู้ดีถึงข้อดีและข้อเสีย เขาจบปริญญาโทจากสถาบันเทคโนโลยีนิปปอน และเลือกที่จะอยู่ในญี่ปุ่น เขาเป็นผู้บริหาร บริษัท กับหุ้นส่วนในท้องถิ่น
Alforieh กล่าวว่าเขาไม่เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับความศรัทธา ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเพราะคนญี่ปุ่นไม่ใช่คนที่จะพูดคุยอย่างเปิดเผยในหัวข้อต่าง ๆ เช่นศาสนากับคนแปลกหน้าหรือคนคุ้นเคย
“หากพวกเขาทราบว่าคุณปฏิบัติตามศาสนาอื่นจากพวกเขา พวกเขาจะให้ความเคารพคุณ ถ้าผมออกไปในที่สาธารณะ และผมต้องหามุมที่จะละหมาด พวกเขาก็ไม่ได้ห้ามอะไร” Alforieh บอก
มันค่อนข้างยากที่จะหาอาหารฮาลาลหากคุณไม่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ก็ตาม “เป็นการยากที่จะหาผู้พูดภาษาอังกฤษที่อยู่นอกพื้นที่ท่องเที่ยว” เขากล่าว “แต่ตราบใดที่คุณสามารถสื่อสารกับคนในท้องถิ่นได้การหาอาหารที่เป็นมิตรกับชาวมุสลิมนั้นง่ายกว่ามาก”
สิ่งหนึ่งที่ Alforieh สังเกตเห็นคือสื่อญี่ปุ่นมักจะให้ความสำคัญกับมุมมองที่ผิด ๆ ของอิสลาม หัวข้อเหล่านี้กระตุ้นความสนใจเป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่ทำอะไรให้เกิดความรู้แก่ผู้ชม เช่นการพูดถึงข้อห้ามในการกินหมู หรือดื่มแอลกอฮอล์ (อาหารญี่ปุ่นส่วนมากผสมแอลกอฮอล์) และแนวคิดที่ว่าผู้ชายซาอุดิทุกคนมีภรรยาสี่คน
“แต่เราทุกคนทำส่วนของเราเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านั้น และหวังว่าเราจะสามารถสร้างความเข้าในที่ถูกต้องได้” เขากล่าว
เกี่ยวกับการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนในญี่ปุ่น Alforieh กล่าวว่าการถือศีลอดที่นี่ง่ายกว่าในซาอุดิอาระเบีย “ ทุก บริษัท ที่ผมทำงานให้นั้นเป็นมิตรกับชาวมุสลิม” เขากล่าว “เพื่อนร่วมงานสนใจที่จะอดอาหารหลังจากเห็นผมถือศีลอด และพวกเขาจะลองถือศีลอด การทำงานยุ่งทำให้เวลาผ่านไปเร็ว ผมแทบจะไม่สังเกตเห็นเลย
“ผมคิดถึงบรรยากาศของการฉลองอี๊ดกับครอบครัวของผม แม้จะมีความประดับใจที่ดีที่สุดของชุมชนมุสลิมที่นี่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน”
ในฐานะชาวมุสลิม Alforieh และ Bantan ล่ามแต่ละคนมีข้อความสำหรับคนญี่ปุ่น “ทุกสิ่งที่คุณทำไป พยายามส่งความดีออกไปสู่โลกใบนี้ต่อไป” Alforieh กล่าว
สำหรับบทบาทของเขา Bantan กล่าวว่า “การศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ให้หาความรู้ด้วยตนเอง อย่าเพิ่งฟังสิ่งที่สื่อหรือผู้คนรอบตัวคุณกำลังพูดกันเท่านั้น”