จะมีการลงคะแนนเสียงในวันพฤหัสบดี (11) ในการลงมติที่มุ่งเป้าไปที่สมาชิกสภาคองเกรสมุสลิม-อเมริกัน หลังไม่พอใจต่อการวิจารณ์อิสราเอลของเธอ
หนึ่งในการเคลื่อนไหวครั้งแรกของเขานับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา เควิน แมคคาร์ธี เป็นผู้นำความพยายามขัดขวางอิลฮาน โอมาร์ สมาชิกสภาคองเกรสไม่ให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกิจการต่างประเทศของสภา เนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลในอดีตของเธอ
ในวันพุธ พรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ในสภามีมติให้ถอดโอมาร์ออกจากคณะกรรมการ พรรคเดโมแครตคัดค้านการเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยกล่าวหาว่าแม็กคาร์ธีเป็นพวกหัวรุนแรงในการพุ่งเป้าไปที่นักการเมือง ซึ่งเป็นอดีตผู้ลี้ภัยเชื้อสายโซมาเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสตรีมุสลิมเพียงสองคนที่รับใช้ประชาชนอยู่ในรัฐสภาสหรัฐฯ
พรรครีพับลิกันไม่กี่คนในตอนแรกที่ต่อต้านความพยายามของ แมคคาร์ธี ประธานสภาฯ โดยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของเขาในการลงมติต่อต้าน โอมาร์ เนื่องจากเสียงในสภาของสองพรรคใกล้เคียงกัน
แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สมาชิกพรรครีพับลิกันทั้ง 218 คนในสภาได้ลงมติให้เดินหน้ามาตรการดังกล่าว ขณะที่พรรคเดโมแครตยังคงพร้อมใจกันสนับสนุนโอมาร์ด้วยคะแนนเสียง 209 เสียง คาดว่าจะมีการลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายในวันพฤหัสบดี เนื่องจากมีการชุมนุมสนับสนุนโอมาร์
พรรคคองเกรสซีฟคองเกรสของรัฐสภา (CPC) ปกป้องโอมาร์ โดยเรียกเธอว่าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติที่ “คุณไม่สามารถถอดสมาชิกสภาคองเกรสออกจากคณะกรรมการได้เพียงเพราะคุณไม่เห็นด้วยกับมุมมองของพวกเขา เรื่องนี้ทั้งน่าหัวเราะและอันตราย” ปรามิลา จายาปาล ประธานพรรค CPC กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์
มติดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่โอมาร์ ซึ่งเสนอโดย แม็กซ์ มิลเลอร์ จากพรรครีพับลิกันแห่งรัฐโอไฮโอเมื่อวันอังคาร โดยอ้างถึงความขัดแย้งมากมายที่เกี่ยวข้องกับการวิจารณ์ของโอมาร์ที่มีต่ออิสราเอล และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ
“เห็นได้ชัดว่า โอมาร์ ไม่สามารถเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมาในคณะกรรมการกิจการต่างประเทศ เนื่องจากเธอมีอคติต่ออิสราเอลและต่อต้านชาวยิว” มิลเลอร์กล่าวในถ้อยแถลง
โอมาร์โต้กลับโดยกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่ “เป็นความจริง” เกี่ยวกับมติดังกล่าว และเสริมว่า “หากการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์เป็นเหตุผลที่จะไม่ทำหน้าที่ในคณะกรรมการ ก็จะไม่มีใครเข้าร่วมในคณะกรรมการ”
ในขณะที่มติของพรรครีพับลิกันกล่าวโทษโอมาร์ว่าต่อต้านชาวยิว แต่เป็นการอ้างถึงคำที่เธอพูดที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอลเท่านั้น ไม่ใช่ชาวยิว
ตัวอย่างเช่น มาตรการดังกล่าวเรียกร้องให้สมาชิกสภาคองเกรสระบุว่าอิสราเอลเป็น “รัฐแบ่งแยกเชื้อชาติ” ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนชั้นนำ เช่นแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและฮิวแมนไรท์วอทช์ ที่ระบุว่าอิสราเอลใช้ระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติกับชาวปาเลสไตน์
ในช่วงต้นการดำรงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาในปี 2019 โอมาร์เผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเธอออกมาแฉว่าการบริจาคทางการเมืองจากกลุ่มล็อบบี้ที่สนับสนุนอิสราเอลซึ่งรวมถึงคณะกรรมการกิจการสาธารณะของอิสราเอลอเมริกัน (AIPAC) นั้นช่วยผลักดันการสนับสนุนอิสราเอลในวอชิงตัน
ต่อมาโอมาร์ได้ขอโทษสำหรับคำพูดนั้น แต่ผู้สนับสนุนสิทธิชาวปาเลสไตน์กล่าวว่าข้อกล่าวหาว่าโอมาร์ต่อต้านชาวยิวต่อ เพื่อหวังผลยับยั้งการอภิปรายเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลอิสราเอล
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา AIPAC และองค์กรสนับสนุนอิสราเอลอื่นๆ ใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ในการสนับสนุนการเลือกตั้งรัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อเอาชนะกลุ่มหัวก้าวหน้าที่สนับสนุนสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์รวมถึง Andy Levin จากมิชิแกนอดีตสมาชิกสภาชาวยิวที่ไม่สนับสนุนปฏิบัติการของรัฐบาลอิสราเอล